SHARE

คัดลอกแล้ว

ทีมข่าวเวิร์คพอยท์ได้สัมภาษณ์ เฌอปราง อารีย์กุล, ปัญสิกรณ์ ติยะกร และ พัศชนันท์ เจียจิรโชติ (เฌอปราง ปัญ​ และอร) แห่ง BNK48 ในโอกาสที่มาร่วมรายการปริศนาฟ้าแลบ และรายการ Super หม่ำ กับเวิร์คพอยท์ทีวี การสัมภาษณ์ครั้งนี้มีความตั้งใจในการสะท้อนตัวตนของทั้งสามสมาชิก ในมิติที่เรามองว่าควรจะเป็นแบบอย่างให้กับคนรุ่นใหม่ ที่มองสมาชิกวง BNK48 เป็นไอดอล เป็นตัวอย่างในการใช้ชีวิตและความคิด

 

กลุ่มคนที่รักและชื่นชอบสมาชิก BNK48 มีมากขึ้นทุกวัน เป็นโชคดีของเรา ที่ได้มีโอกาสพูดคุยกับสามสมาชิกสำคัญของวงในช่วงปลายปี 2560 และข้างล่างนี้คือบทสนทนาของเรา

 

Episode 1: หนึ่งปีกับการเป็นไอดอล

พิธีกร: อยากให้พูดถึงข้อดีของแต่ละคน เพราะโดยธรรมชาติของมนุษย์ ไม่มีใครพูดถึงข้อดีของตนเอง

อร : อาจจะไม่ใช่กับ BNK48 นะคะ

ปัญ : ความมั่นหน้าสูงมากค่ะ

พิธีกร: ให้ปัญพูดถึงเฌอปราง

ปัญ : นึกข้อดีไม่ออกเลยพอหันมายิ้มอย่างนี้ ตอนแรกเกือบพูดแล้วนะ พี่เฌอเป็นคนที่มีความเป็นผู้นำสูง สามารถที่จะจัดการคนหลายๆ คนได้ ไม่ใช่จัดการแบบตบ แต่เป็นคนที่ตัดสินใจได้อย่างรอบคอบ สามารถมองภาพรวมขาดว่าควรจะทำอะไรต่อ

อร : สมควรแก่การเป็นกัปตันแล้วค่ะ

ปัญ : ข้อดีอีกอย่างคือสวยค่ะ

เฌอปราง : นานๆ ทีปัญจะชม

ปัญ : มีกล้องไงพี่ หลังกล้องหนูก็ไม่ชมหรอก

พิธีกร: เฌอปรางให้พูดถึงอร

เฌอปราง : อรเป็นคนขี้เล่นค่ะ เป็นคนเฮฮาลั้นลา และมีสกิล MC ดีมาก  เพราะฉะนั้นอยู่ในสถานการณ์อะไรก็สามารถพึ่งพาอรได้เสมอค่ะ

อร : น้ำตาจะไหล

พิธีกร: ถ้าตอนนี้ถ้าพี่หัวใจจะวายไปก็ให้มาเป็นพิธีกรต่อได้?

เฌอปราง : ได้ค่ะ ไม่มีปัญหาเลยค่ะ

อร : โอเค ลุกเลยค่ะ

ปัญ : พี่อร รายการนี้เขาจะตัดหน้าพี่อรออกหมดเลย

อร : แบบเบลอไว้ เหลือแค่ 2 คนนี้ และเบลอคนนี้ไว้

พิธีกร: พิธีกรของเวิร์คพอยท์รายการไหนที่อยากทำที่สุด?

อร : ปริศนาฟ้าแลบค่ะ คือหนูกลัวว่าถ้าหนูตอบไปจะโดนเด้งทันที

เฌอปราง : ทำไมถึงอยากไปปริศนาฟ้าแลบ?

อร : เหมือนอยู่ในสถานการณ์ที่กดดันและกำลังจะเข้าไป มันเลยอินเพราะหนูทำการบ้านมาเยอะ

เฌอปราง : เดี๋ยว เขาถามว่าอยากเป็นพิธีกรรายการอะไร?

อร : ก็เลยเป็นรายการนั้นไง เพราะหนูทำการบ้านมาเยอะว่าต้องมีการชี้ยังไง เล่นหลักจิตวิทยายังไง ดูจริงจังใช่ไหม? โม้ค่ะ

พิธีกร: ให้อรพูดถึงปัญบ้าง

อร : ปัญเป็นเด็กที่โตกว่าวัยค่ะ เห็นอย่างนี้เขามีความเป็นผู้ใหญ่สูงมาก คือถ้าหนูอายุเท่าปัญหนูก็คงยังคิดไม่ได้เท่าปัญ ก็คือปัญเป็นเด็กที่มีความเป็นผู้ใหญ่มากและพึ่งพาได้ค่ะ

เฌอปราง : ขาดอย่างเดียวคือประสบการณ์

อร : ใช่ เดี๋ยวอายุเท่าเรา เขาก็มีประสบการณ์ที่มากกว่าเราแล้วล่ะพี่

พิธีกร: มารายการปริศนาฟ้าแลบ ได้ทำการบ้านกันมารึเปล่า?

เฌอปราง : ไม่ได้ทำค่ะ

อร : คุณเฌอ

ปัญ : คุณเฌอ

อร : ทำค่ะ หนูโหลดแอปมาเล่นแล้ว

พิธีกร: เช่นอะไรบ้าง?

อร : มันมีแอปฯ ปริศนาฟ้าแลบ ให้เราอ่านแล้วตอบ มีระยะเวลาที่จำกัด หนูก็ลองเล่นแล้ว พิสูจน์ความเป็นโปรเฟสชันนอลของ BNK48 มาก ได้ประมาณ 3 เต็ม 10 ค่ะ

เอม : มีคำถามไหนบ้างที่จำได้ ที่ตอบได้

อร : มันเทศสรุปใครเทศน์?

พิธีกร: มันเทศสรุปใครเทศ ก็ไม่มีใครเทศน์

อร : ใช่

ปัญ : แล้วตอบใครเทศ?

อร : มันเทศ

ปัญ : หนูดูรายการนี้อยู่แล้วค่ะ ไม่ได้ติดตามทุกอาทิตย์ เคยดูคลิปออฟเดอะเยียร์ เคยดูของพี่กันต์ ที่ถ้ากันต์มีกันและกันต้องมีกันกี่กันต์

พิธีกร: ในสมาชิก BNK48 ใครน่าจะเก่งปริศนาฟ้าแลบที่สุด?

อร : หนูเพิ่งได้ 3 มา พี่ยังจะชี้หนูอีกหรอ คาดหวังกับหนูใช่มะ

เฌอปราง : เฌอเป็นคนไม่เก่งภาษา แล้วตอนรู้ที่ต้องมาก็ เอ่อออ

ปัญ : พี่เฌอไว้ใจหนู หนูนี่แหละจะพาทีมชนะเอง

อร : ไม่ต้องห่วง เรา 3 คนจะอยู่กันอีกยาว

เฌอปราง : แน่นอน ที่บอกไม่ทำการบ้านเพราะรู้ว่าทำการบ้านมาก็ไม่น่าจะช่วยอะไร

อร : จะมีคำถามที่เป็นสาระกับไร้สาระ อรเชื่อว่าทีมงานน่าจะเลือกคำถามที่มีสาระกับพี่เฌอ

เฌอปราง : ซึ่งพี่เฌอก็จะตอบไม่ได้เท่าไหร่

อร : ใช่ เดานะเดา ปรากฏเจอไร้สาระ มันเทศสรุปใครเทศน์?

เฌอปราง : พี่ก็จะตอบไม่มีใครเทศนะ

อร : ทำไมหนูตอบมันเทศ?

เฌอปราง : ก็เพราะหนูไปแยกคำว่ามันกับเทศ

ปัญ : การบลัฟกันเกิดขึ้นแล้วครับ เนี่ยครับ BNK48

พิธีกร: มาที่กัปตันบ้าง เฌอปรางไปที่ไหนก็จะสัมภาษณ์ความเป็นกัปตัน แต่สมมุติเฌอปรางเป็นสมาชิกที่ได้รับความนิยมน้อยที่สุด เช่นถ้าประกาศ BIII แล้วตัวเองไม่ติด ตัวเองจะทำอะไร ห้ามตอบว่าหนูก็จะพยายาม เพราะมันง่ายไป

เฌอปราง : เฌอคงจะซ้อมเต้น ซ้อมร้องของตัวเองไปเรื่อยๆ ยังคงอัพโซเชียลฯ ยังทำกิจกรรมต่างๆ ที่อยู่ในขอบเขตที่ตัวเองทำได้ต่อไป ทั้งการพัฒนาตัวเอง รวมถึงการเรียนและการทำโปรเจกต์ของตัวเองในมหาวิยาลัยค่ะ

อร : ง่ายๆ คือเหมือนเดิม

เฌอปราง : ใช่ค่ะ

อร : ถึงเป็นกัปตันก็เหมือนเดิม

พิธีกร: มันมีปัจจัยอื่นไหม เช่น การเข้ากับเพื่อน การวางตัว ที่อยากแนะนำตัวเอง?

เฌอปราง : จริงๆ อยากแนะนำตัวเองว่าให้ผ่อนคลายกว่านี้ ผ่อนผันกับอะไรหลายๆ อย่างมากกว่านี้ เพราะว่าค่อนข้างเป็นคนอยากทำให้มันดีที่สุดมากๆ จนบางทีอาจจะไปกดดันคนอื่น โดยไม่รู้ตัวค่ะ

พิธีกร: ถ้าอย่างนั้นมีคำถามนึงที่หวังว่าจะทำให้ผ่อนคลายขึ้น หรือเกร็งขึ้นเปล่าก็ไม่รู้ เฌอปรางได้อธิบายมิวสิคเรื่องตาหวานหรือยังครับ?

ปัญ : ผ่อนคลายนะครับ ยิ้มแก้มแตก

เฌอปราง : เดี๋ยว อันนี้เป็นเรื่องที่แบบ…

อร : กลายเป็นรักสี่เส้าหรือเปล่า

เฌอปราง : ถามว่าเราคิดอะไรมากหรือเปล่า เราไม่ได้คิดมากอะไรเลย เพราะอยู่ในวงกันอยู่แล้ว ก็แค่มีโมเมนต์ไหนที่เราสนุกสนานเฮฮากับคนไหนได้บ้าง เราก็เฮฮากับคนนั้น ด้วยความที่ตาหวานกลับบ้านกับเฌอบ่อย เฌอก็เลยรู้เรื่องตาหวานค่อนข้างเยอะ

พิธีกร: ไม่มีใครโกรธกันเลย?

เฌอปราง : ไม่ค่ะ พวกเรายังขำกันด้วยซ้ำ

อร : กลายเป็นรักสี่เส้าไปแล้ว คุณแม่ยังแซว ว้ายรักสี่เส้า

พิธีกร: มันน่าจะเป็นเรื่องสนุกของแฟนๆ

เฌอปราง : ควงอรก็ได้

อร : เป็นโมเมนต์ เฌออร

ปัญ : ตอนนี้ให้หนูออกไปจากการสัมภาษณ์นี้เลยไหมคะ

อร : ไม่เป็นไรค่ะ ก็สามารถเป็นเฌอปัญ หรือเป็นอรปัญ

เฌอปราง : คือเราชิปกันได้ตลอดค่ะ

ปัญ : POPO

พิธีกร: POPO ก็คือ Pun กับ Orn PO เลยเป็น POPO?

ปัญ : เกิดขึ้นมาจากตอน BNK48 Show ถ้าเมื่อไหร่ที่หนูกับพี่อรอยู่ด้วยกันจะชนะตลอด แต่มาเจออีกรอบแพ้เลย หมดกันตำนาน

พิธีกร: ศัพท์ในวงการเรียกว่าชิปใช่ไหม เรือ ก็คือ เฌอ กับ สิค คือเรือหลวง?

เฌอปราง: อาจจะว่าอย่างนั้นก็ได้

อร : หรืออาจจะเป็นเรือสำเภา ไททานิกหรือเปล่า ยิ่งใหญ่

เฌอปราง : เรียกว่ารู้จักกันมาก่อน เหมือนออกงานด้วยกันก็จะคู่กันบ่อยๆ ก็เลยนับกันไปว่า เรือหลวงเป็นเรือ Official

อร : แล้วจริงไหมคะ?

เฌอปราง : ไม่จริงค่ะ

อร : โอย เรือล่มเลย

เฌอปราง : ไม่ ก็น้องเป็นน้องสาว ก็เหมือนอรนี่แหละ เราจะชิปกันจริงจังขนาดนั้น มันก็ไม่ไง แต่ก็สนุกสนานก็เป็นน้อง

อร: อะไรหรอ

เฌอปราง : แต่ก็สนุกสนาน เป็นพี่เป็นน้องกันทุกคน

อร : พวกเราก็แฮปปี้นะคะ

พิธีกร: แต่ของปัญ เคมีก็ได้กับหลายคนมาก แฟนคลับบอก

เฌอปราง : ปัญเป็นคนที่เข้ากับทุกคนได้ค่ะ ก็อย่างที่บอกปัญเป็นกัปปัญที่ดี

พิธีกร: เมื่อกี้คุยนอกรอบ ปัญบอกว่าพอถึงจุดนึงก็จะเริ่มเดาบุคลิกของแฟนคลับของตัวเองออก ลองอธิบายหน่อย ของปัญนี่จะเป็นยังไง?

ปัญ : เหมือนเคยมีครั้งหนึ่ง เดาโหงวเฮ้งว่าโอชิใคร คือมันดูออกว่านี่จะโอชิใคร ที่หนูเดาของพี่เฌอส่วนมากถ้าเป็นผู้หญิงก็จะสูงอายุเล็กน้อย วัยทำงาน ส่วนของหนูจะเป็นผู้หญิงเด็กๆ ผู้หญิงที่มาโอชิหนูจะน่ารัก เผลอๆ สวยกว่าหนูด้วย ถ้าเป็นผู้ชายก็จะผอมๆ ขี้อายๆ เดาจากที่เขามาคอมเมนต์รูป หรือไม่ก็เป็นผู้ชายที่ใส่แว่น อะไรประมาณนี้ค่ะ

พิธีกร: เราก็บอกเขาไปแบบนั้นเหมือนกัน ว่าเขาดูแมนไง คนที่มาชอบก็บอบบางหน่อย ของเฌอปรางล่ะ หรือมันเยอะมาก ไม่รู้จะอธิบายยังไง?

อร : มีหลากหลายน่ะค่ะ มีทั้งเด็กที่เห็นพี่เฌอเป็นไอดอล

เฌอปราง : มีทั้งผู้ใหญ่ที่เอาใจช่วย มีทั้งรุ่นเดียวกันที่เหมือนเอาตัวเฌอเป็นแรงผลักดัน ส่วนใหญ่ที่เฌอเห็นเขาเอาเฌอเป็นแรงผลักดันในการเรียนพวกนี้ ในการทำงาน สู้ตามฝันอย่างพยายาม ซึ่งเฌอก็ไม่รู้เหมือนกัน รู้สึกจะค่อนข้างหลากหลายมาก

พิธีกร: ของอรล่ะครับ?

อร : ของอร ที่สังเกตจากงานจับมือ จะเป็นผู้ชายที่จะมีอายุหน่อย หรือว่าทำงานแล้ว

เฌอปราง : ชอบสาวตลก

ปัญ : แต่เอาจริงพอมาดูว่าแฟนคลับแต่ละคนมีคาแรคเตอร์กันไป มันพิสูจน์ได้ว่าวงเรามีความหลากหลายที่สามารถดึงดูดคนได้ คือในงานถ่าย MV มีทั้งที่เด็กไปจนถึงผู้สูงอายุ หนูก็เลยรู้สึกดีใจในจุดนี้เหมือนกัน

พิธีกร: ก็หลุดจากหลุมนี้ก็ไปตกอีกหลุมนึง

อร : แต่ของเขาก็มีผู้หญิงนะ คือของหนูจะเป็นผู้หญิงสวย สวยจริง โอ้ว สวยมาก เขาก็บอกว่าไม่หรอก พี่สวยกว่าหนูอีกค่ะ

พิธีกร: เป็นไอดอลมา 1 ปี มีโมเมนต์ไหนที่จดจำได้มากที่สุด ให้ 1 โมเมนต์ สิ่งที่แบบไม่น่าเชื่อและน่าจดจำ ให้กัปตันเฌอปรางตอบก่อนละกัน ระหว่างน้องๆ คิด

เฌอปราง : ของเฌอคิดว่าจะเป็นตอนที่ถ่าย MV เพราะว่าเป็น MV ครั้งแรกของพวกเรา เราไม่คิดว่าจะมีคนเข้ามาร่วมใน MV ถึง 2 พันกว่าคน เพราะว่าโมเมนต์นั้นจำได้ว่าเป็นคนเดียวที่เดินออกไปแล้วอยู่ๆ ก็ร้องไห้เฉย

พิธีกร: เพราะประทับใจ?

เฌอปราง : ใช่ค่ะ ด้วยความที่ว่าเรามีเพลงมาก่อน แล้วเรายังไม่มีโรงละครเป็นของตัวเอง คือเรายังไม่มีอะไรเลย

อร : เราใหม่มาก เหมือนเราตอกเสาเข็ม มีแค่เสาเข็ม

เฌอปราง : เสร็จแล้วพอ MV อันแรกที่พวกเรามี เรามีแล้วอันแรก 1 คือเราจะได้ถ่าย MV แล้ว อันที่ 2 คือเราถ่าย MV ร่วมกับคนอื่นด้วย ที่เขาตั้งใจมาเพื่อพวกเรา เพื่อมาอยู่ใน MV กับพวกเรา ก็เลยตอนเดินออกไปได้ยินเสียงเฮคน 2 พันคน ตอนนั้นคือโมเม้นท์ที่แบบ เราเดินทางมาถึงจุดนี้ได้แล้วจริงๆ อะไรอย่างงี้ค่ะ

พิธีกร: แต่มันยังไปไกลได้กว่านี้อีกนะ

เฌอปราง : เชื่อมั่นเป็นอย่างนั้นเช่นกัน ต้องเป็นอย่างนั้น

พิธีกร: ของอรล่ะ

อร : เยอะมากค่ะ เลือกไม่ถูก ขอเลือกโมเมนต์จับมือได้ไหมคะ เป็นครั้งแรกที่จับมือกับคนแปลกหน้า และเยอะมาก ทุกครั้งในการจับมือ อร ต้องกลั้นน้ำตาไว้ เพื่อไม่ให้เขาเห็นน้ำตา เราซาบซึ้งกับเขา เหมือนเขามาให้กำลังใจหนู แล้วหนูก็ให้กำลังใจเขากลับไป เป็นครั้งแรกที่ได้กำลังใจเยอะมากที่สุดในชีวิตตั้งแต่หนูเกิดมายันอายุเท่านี้ มันก็เลยเป็นโมเมนต์ที่ชอบจริงๆ ค่ะ

พิธีกร: ปัญล่ะครับ 1 โมเมนต์?

ปัญ : ของหนูน่าจะเป็นวันเดบิวต์ เป็นเดบิวต์ครั้งแรกของพวกเรา เหมือนตอนเดบิวต์ที่ Japan Expo เหมือนไปยืนแค่เราเป็น BNK48 นะ แล้วก็เริ่มเปิดใช้โซเชียลเน็ตเวิร์ก แต่เรายังไม่มีทั้งผลงานอะไรต่างๆ ที่ทำให้คนรู้จักเรา แล้วเราก็ไม่ได้มีการพบหน้ากับแฟนคลับหลังจากวันนั้นจนมาถึงวันที่เดบิวต์ วันที่ขึ้นไปยืนบนเวที ใส่ชุดเซ็มแล้ว แล้วตอนแรกหนูก็ไม่ได้คิดว่าจะมีคนมาเยอะนี้ขนาดนี้ เพราะเราก็ไม่รู้จริงๆ ว่าจะมาถึงขึ้นนั้น ในตอนนั้นนะคะ สำหรับหนู แล้วคือออกไปแบบ ว้าว คนเยอะมาก แล้วคือมันเกินความคาดหมายของเรา แล้วมันก็เป็นเหมือนจุดเริ่มต้นของเราด้วย หนูก็เลยประทับใจตรงนั้นมากค่ะ

พิธีกร: ตรงข้ามกัน มีความรู้สึกเสียใจ หรือว่ารู้สึกสงสารแฟนคลับไหม ที่เขามาจับมือเราได้ 10 วินาที แล้วโดนการ์ดลาก?

อร : จริง คืออย่างเมื่อวานที่งานแฟนมีต ตอนที่เรากำลังให้โปสเตอร์ คือกำลังรับ กำลังจะพูด แล้วก็โดนลากไปเลย หนูก็เลยเห้ยพี่เบาๆ ใจเย็นๆ

ปัญ : แต่ไปว่าเขาก็ไม่ได้ เพราะเป็นหน้าที่ของเขา ทุกคนต่างก็ทำหน้าที่ตัวเองให้ดีที่สุด มันก็เลยเป็นอย่างนั้น

เฌอปราง : เราก็เปลี่ยนไปว่าเราก็ไม่พูดเยอะ ไม่พูดเลยดีกว่า ก็แค่ขอบคุณค่ะ เมอร์รี่คริสต์มาส ใช้ภาษามือเอาตอนนั้น

อร : จะได้โอเคทั้ง 3 ฝ่าย เรา เขา การ์ด

พิธีกร: ทั้ง 3 คน ยังสนุกกับการอยู่ใน BNK48 อยู่? เต็ม 10 ให้เท่าไรตอนนี้?

อร : 10

เฌอปราง : ก็ให้ 10

พิธีกร: ไม่มีอะไรที่ไม่ชอบ?

เฌอปราง : ก็มีนะคะ

อร : มี

ปัญ : ในบางสถานการณ์มันก็มี แต่ถ้าภาพรวมก็ให้ 10

เฌอปราง : ก็ยังมีอยู่

พิธีกร: ครับ ไม่ได้เชียร์แกรดครับ

อร : ก็แฮปปี้ที่ยังอยู่จุดนี้ เอาจริงคือพวกเรารัก BNK48 มากค่ะ เพราะว่าเราเริ่มจาก อะไรที่มันศูนย์จริงๆ ไม่รู้ว่าแฟนคลับมีจำนวนเท่าไร ไม่รู้ว่าจะต้องมีอะไรมากขนาดไหน

เฌอปราง : ต้องมีเพลงเท่าไร ต้องร้องเต้นอย่างไง

อร : ใช่ จะเสี่ยงมาก เพราะว่าในวงการเพลงไทย การที่จะกำเนิดมันยาก

เฌอปราง : พวกเราเป็นอะไรใหม่มาก

อร : บริษัทก็ใหม่ เราไม่ได้อยู่ในค่ายใหญ่ คือเสี่ยงมาก หลังจากที่เซ็นไปแล้ว อยู่ในความเสียง 50/50 เลยค่ะ ว่าจะล่มหรือว่าจะรุ่ง

เฌอปราง : ซึ่งก็ยังคงเสี่ยงต่อไปเรื่อยๆ ในทุกๆวัน

 

 

 

Episode 2: เฌอปราง “มีครั้งหนึ่ง มิวสิค เคยเดินมาหาเราแล้วบอกว่า หนูเกลียดพี่เฌอ”

พิธีกร: เฌอปราง เฌอปรางเป็นกัปตัน บทบาทของเฌอปรางมีความซับซ้อนมาก เพราะเป็นกัปตัน แต่พูดในความเป็นจริง พวกคุณก็ต้องแข่งขันกัน เพราะมีเซมบัตสึ และรุ่นใหม่ก็กำลังจะเข้ามา ความรู้สึกเป็นอย่างไรครับ ที่วินาทีนี้คุณต้องแนะนำน้อง แต่บางวินาทีคุณก็ต้องแข่งขันกับคนอื่น

เฌอปราง : วินาทีที่ต้องแนะนำน้อง บาทีก็ต้องแข่งขันกับคนอื่น เรียกว่า เราแล้วแต่โชคชะตาค่ะ เรารู้แค่ว่าเราเข้ามาจุดนี้เพื่อที่จะแชร์ เพื่อที่จะให้ เพื่อที่จะทำอะไรเพื่อคนอื่น หนูไม่ได้ตั้งใจที่จะเข้ามาในวงการบันเทิงอะไรขนาดนั้น หนูเต้นไม่เป็น ร้องไม่เป็น ความฝันหนูเองก็คืออยากทำงานวิทยาศาสตร์ด้วยซ้ำ ก็แค่ชอบ AKB48 แล้วพอรู้ว่ามีที่ไทย เฌอก็เลยอยากสนับสนุนโปรเจค คอนเซ็ป ของการเป็น 48 กรุ๊ป ให้เกิดขึ้นในประเทศไทย เพราะเฌอคิดว่ามันเป็นอะไรที่ใหม่ในเมืองไทย และเป็นคอนเซ็ปที่เป็นแรงบันดาลใจให้คนอื่นได้ มันเป็นความพยายาม คือเฌอชอบที่ญี่ปุ่นอยู่แล้ว แล้วเฌอก็เห็นคนๆหนึ่งที่เราชื่นชอบ เติบโต ได้เชียร์เขา ได้เห็นเขาเดินไปในเส้นทางของตัวเอง มันมีความสุข มันตื้นตัน แล้วอยากให้สิ่งนี้เกิดขึ้นที่ประเทศไทย เหมือนเป็นสถาบันที่คนข้างนอก หรือรุ่นถัดไปจะมองเข้ามา แล้วอยากมาทำตรงนี้ อยากพัฒนา อยากอยู่ตรงนี้บ้าง อยากเป็นแรงบันดาลใจให้คนอื่นบ้าง

พิธีกร: แล้วน้องๆ ให้กำลังใจพี่เฌอบ้างไหม?

เฌอปราง : เยอะแยะค่ะ

พิธีกร: เป็นอย่างไรบ้างบรรยากาศในทีม คือมันเป็นความแข่งขัน มันเป็นมิตรภาพ อยากให้เล่าให้เห็นภาพ คนข้างนอกเขาไม่รู้ว่ามันมีความสับสนของอารมณ์หรือเปล่า?

เฌอปราง : มีค่ะ

อร : มีค่ะ มีทุกครั้ง

เฌอปราง : อันนี้ต้องเล่าก่อนว่ามีครั้งนึง มิวสิค เคยเดินมาหาเราแล้วบอกว่า “หนูเกลียดพี่เฌอ” แล้วก็ “แต่หนูก็ชอบพี่เฌอ แล้วหนูก็รักพี่เฌอ แต่หนูก็เกลียดพี่ในเวลาเดียวกัน” คือมันเป็นความรู้สึกแบบนี้ค่ะ บางทีลึกๆ เราก็อิจฉากันบ้าง บางคนได้งาน บางคนไม่ได้งาน มันเป็นความรู้สึกที่ว่า เราก็อิจฉา แต่เราก็สนับสนุนเขา แปลก

ปัญ : มันก็เหมือนเพลง Shonichi ที่เป็นซิงเกิลที่ 3

อร : ใช่ เพลงใหม่เรา

ปัญ : ที่มันมีท่อนหนึ่ง Rival อะไรสักอย่าง

เฌอปราง อร : เราเป็นเพื่อนกัน แต่เราก็เป็นคู่แข่งกัน

เฌอปราง : เรียกว่าเราแข่งกันเติบโต เราหวังดีให้กันและกัน แต่เราก็อยากเป็นแรงผลักดันให้แต่ละคนพุ่งไปข้างหน้าเช่นกันค่ะ

พิธีกร: ดีมากครับ พวกคุณก็จะเก่งขึ้นสวยขึ้นครับ แล้วพวกผมก็จะเสียเงินมากขึ้นครับ

เฌอปราง : ตามนั้นค่ะ

พิธีกร: เฌอปราง ตอนนี้คนบอกว่าชื่อเสียงเฌอปรางถึงแกรดก็มีงานในวงการบันเทิง

เฌอปราง : ถึงขั้นนั้นแล้วหรอ ยังมั้ง

พิธีกร: คิดอย่างไง เวลาคนพูดแบบนี้

เฌอปราง : เรียกว่าเฌอโชคดีแล้วกันค่ะ เฌอคิดว่ามันเป็นความโชคดีมากกว่า เพราะว่าถ้าไม่ใช่ 48 กรุ๊ป หรือ BNK48 เฌอไม่คิดว่าตัวเองจะสามารถออกมาในด้านนี้ได้

ปัญ : ทุกคนอะค่ะ BNK48 ทำให้สิ่งที่เราทำ คนถึงสามารถสัมผัสมันได้ ถ้าสมมุติหนูไม่ใช่ BNK48 แล้วหนูโพสต์แบบที่หนูโพสต์ทุกวันนี้ คนก็ยังไม่มีใครรู้อยู่ดีกว่าหนูเป็นคนอย่างไร การที่มี BNK48 ทำให้เราสามารถแสดงความเป็นตัวเองออกมา และทำให้ทำอะไรหลายๆ อย่างทำให้คนอื่นได้

เฌอปราง : ทำให้เรามีกำลังของตัวเองมากขึ้น แล้วก็บวกกับความโชคดีของเฌอด้วย อะไรหลายๆ อย่าง อาจจะเขาชอบเฌอ แล้วก็มอบโอกาสให้ เฌอก็ยินดีที่จะรับ แล้วก็ทำมันให้ดีที่สุด รวมถึงแบ่งปันโอกาสให้กับน้องๆคนอื่นต่อไปด้วยค่ะ

พิธีกร: ถึงตอนนี้สมมุติว่ามองตัวเองอีก 10 ปี ข้างหน้าไม่ได้อยู่ในวงแล้ว เรายังคงอยากเป็นนักวิทยาศาสตร์ใช่ไหม

เฌอปราง : ใช่ค่ะ

พิธีกร: มีนักวิทยาศาสตร์ที่พี่นึกออกก็อย่าง เช่น อาจารย์เจษฎา ดร.กฤษณา อยากเป็นประมาณใคร?

เฌอปราง : เรียกว่าเฌอ อยากเป็นคนที่เป็นกระบอกเสียงให้กับฝั่งของการเป็นนักวิทยาศาสตร์มากขึ้น เพราะประเทศไทยเรายังขาดงานด้านนี้เยอะ และยังพัฒนาด้านนี้ได้ไม่ไกลเท่าประเทศอื่น ทำให้เรายังคงล่าช้า อันนี้เป็นสิ่งที่เฌอยอมรับ และคิดว่าถ้าเฌอสามารถทำตรงนี้ได้ เป็นคนที่มีชื่อเสียงด้วย และสามารถพูดเรื่องเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ หรือชักจูงคนให้เข้ามาสนใจวิทยาศาสตร์ได้มากขึ้น มันก็คงเป็นประโยชน์มากกว่าการเป็นนักวิทยาศาสตร์เฉยๆ ค่ะ

เฌอปราง : แค่นั้นเอง เรียบง่ายมาก

อร : เป็นกระบอกเสียงให้ ขนลุกเลยนะค่ะ

ปัญ : ตอนแรกสัมภาษณ์เฮฮามาก ค่อยๆ เคลียดลงเรื่อยๆ

พิธีกร: เฌอปรางตาม AKB48 มาอยู่แล้วใช่ไหม?

เฌอปราง : ใช่ค่ะ

พิธีกร: อยากมีเส้นทางแบบสมาชิกคนไหน?

เฌอปราง : ไม่ได้อยากมีเส้นทางแบบใครเลย เรียกว่านำเขามาเป็นไอดอล แล้วมองเห็นเส้นทางของเขา แต่ถ้าถามว่าใครที่ชื่นชอบ คือ ยามาโมโตะ ซายากะ นั่นคืออันดับ 1 ยังมีอันดับ 2 3 4 … ลองลงมาอีกเยอะเลยค่ะ

ปัญ : หนึ่งในนั้นมี ปัญ BNK48 ไหมคะ?

เฌอปราง : ไม่ ฉันไม่สามารถเอนเอียงไปทางใดได้ ขออภัยด้วย

 

 

Episode 3: ปัญ “I want to be a caption in my own way”

พิธีกร: กลับมาเรื่อง BNK กัปตันปัญ

อร: กัปปัญหรือเปล่า

ปัญ: เหมือนกัปปะอะ

พิธีกร: อะไรที่ทำให้ตัวเองเป็นกัปตันทีม BII

ปัญ: เอาจริงๆ ตอนที่ประกาศว่าเป็นหนู หนูยังรู้สึกว่ามันจริงหรอ ที่ผ่านมาหนูก็แค่ทำปกติของหนู หนูก็แค่สอนท่าเต้นหรือว่าช่วยอะไรที่พอจะช่วยได้ แต่ว่าตั้งแต่เข้าวงมาหนูไม่คิดว่า ตำแหน่งหนูจะได้เป็นถึงกัปตันทีม ก็แค่คิดว่าเป็นหนึ่งในเมมเบอร์หรือเป็นเซ็มบัทสึ อะไรอย่างนี้อะค่ะ แล้วพอได้เป็นกัปตันแล้วก็รู้สึกว้าว  ส่วนที่ทำให้เขาเลือกก็อาจจะเพราะว่าเหมือนในเธียร์เตอร์มันต้องเต้นเยอะใช่ไหมคะ แล้วหนูด้วยความที่เคยเต้นมาก่อน แล้วอาจจะมีประสบการณ์ด้านการเต้นมามากกว่าคนอื่น หรือว่ามีความสามารถช่วยคนอื่นในเรื่องท่าเต้นได้ เพราะส่วนมากตอนที่ซ้อมเวลาเมมเบอร์มีปัญหา เขาก็จะบอกว่า ปัญๆ สอนท่าเต้นหน่อย

อร: ไม่ใช่แค่เรื่องเต้นนะ แม้แต่ลงรูปแคปชั่น คนก็จะถาม ปัญช่วยคิดคำแคปชั่นให้หน่อย คือที่จริงปัญเป็นคนที่พึ่งพาได้มากๆ ในวง ส่วนใหญ่ ถ้ามีคำถามก็จะมาถามปัญ อย่างอรก็เคยถามปัญ อย่างเมคอัพวันนี้ดีไหม อะไรแบบนี้ คือมันเป็นเรื่องดีเทลเล็กๆ ที่ผู้ใหญ่น่าจะเห็นเวลาเมมเบอร์มาถามปัญหรือว่าพี่เฌอก็ตาม

เฌอปราง: บางทีปัญก็จะถามเฌอต่ออีกทีนึง ถามเป็นทอดๆ มันคงเป็นแล้วแต่เรื่อง แล้วแต่ไลฟ์สไตล์ด้วย

พิธีกร: ปัญก็เป็นคนที่เต้นได้คม แล้วก็เก่งมากด้วย ก็น่าจะเหมาะกับเธียร์เตอร์

เฌอปราง: เรียกว่าเป็นคนดูดีเทล แล้วก็เพราะว่ากัปตันทีมของ BIII จะเป็นคนดูการแสดงทั้งหมดในเธียร์เตอร์ ว่าใครควรจะขึ้นตำแหน่งไหน ใครควรจะขึ้นยังไง รูปแบบทีมอยากจะให้เป็นแบบไหน ซึ่งทุกอย่างจะกำหนดโดยปัญและเป็นคนผู้ฝึกซ้อมน้องๆ เองค่ะ ผ่านคุณภาพของปัญหรือเปล่า ก็ตามนั้นแหละค่ะ

อร: ถ้ามีรุ่นสองหรือรุ่นสามมา ก็ต้องผ่านคุณภาพของปัญ

ปัญ: หนูโหดนะคะ บอกไว้ก่อนเลย เดี๋ยวจะโดน

พิธีกร: ปัญเคยให้สัมภาษณ์กับ The Standard ว่า ปัญไม่เคยคิดที่จะมีความรักแบบหนุ่มสาวมาตลอดชีวิต 17 ปีที่ผ่านมา เพราะเชื่อว่าสามารถเติมเต็มความรักจากคนอื่นๆ รอบตัวได้อยู่แล้ว อะไรเป็นเบื้องหลังความคิดของประโยคนี้ครับ?

ปัญ: หนูไม่เคยรู้สึกว่าขาดใครที่จะมาเติมเต็ม ในตำแหน่งของแฟน

เฌอปราง: เพราะมีพี่ชายอยู่แล้วค่ะ อ่าว ไม่ใช่

ปัญ: ก็มีพี่ชาย มีพ่อแม่ มีเพื่อน มีครู ในตอนนี้ก็มีแฟนคลับด้วย หนูพอใจกับความรักที่หนูได้รับในตอนนี้ 17 ปีที่ผ่านมาหนูไม่ได้รู้สึกว่าต้องการแฟน ในภายหน้ามันก็เป็นเรื่องของอนาคต แต่ตอนนี้หนูก็ยังไม่ได้รู้ว่าอยากมี แบบ Hello, This is my แฟน มันยังไม่ได้มีความรู้สึกว่าอยากค่ะ The Standard ก็ถามเหมือนกันว่าอิจฉาไหม เพื่อนวัยเดียวกันที่เขามี หนูก็ตอบว่า ไม่ค่ะ เพราะหนูไม่ได้อยากได้

อร: เขาเต็ม เขาฟูล

พิธีกร: อะไรที่ทำให้ปัญเต็ม?

ปัญ: ก็คือครอบครัว เพื่อนฝูง แฟนคลับหรืออะไรต่างๆ

อร: อยู่คนเดียวดีกว่า เข้าใจฟีล

หนูไม่ได้ชอบให้มา ยึ้กๆๆๆ อะไรแบบนี้ค่ะ

เฌอปราง: หาคนเข้าด้วยยังไม่เจอ ว่าอย่างนั้นเถอะ

พิธีกร: ปัญสอบเทียบเข้ามหาวิทยาลัยตั้งแต่ ม.2 ทำไมต้องทำขนาดนั้นหละลูก?

อร: ใช่ค่ะ ข้ามหน้าข้ามตาพี่มากเลยค่ะ

พิธีกร: ปัญอายุเท่าไหร่นะตอนนี้?

ปัญ: 17 ค่ะ

พิธีกร: เรียนอยู่?

ปัญ: ปีสองค่ะ

พิธีกร: ถามเป็นภาษาอังกฤษได้ไหม อยากฟังสำเนียง

(ภาษาอังกฤษ)

ปัญ: ไม่นะ หนูเขินค่ะ

พิธีกร: รู้สึกอย่างไรที่ได้มาเป็นกัปตันทีม BIII

ปัญ: หนูดีใจที่ได้ตำแหน่งนี้ แต่ก็กลัวในเวลาเดียวกัน เพราะอย่างที่บอก หนูไม่คิดเลยว่าจะได้มาอยู่ตำแหน่งนี้  มันฉุกละหุกมากเลย

เฌอปราง: น่าจะรู้นะว่าวันนึงอาจจะได้เป็น

ปัญ: ไม่เลย รองกัปตันยังพอไหว เพราะหนูรู้สึกว่ายังไม่อาวุโสพอ

อร: แต่พี่โอเคนะ

ปัญ: ช่วยพูดอังกฤษด้วยค่ะ หนูฟังไทยไม่ออก

เฌอปราง: ตบไหม?

อร: ดู ดูหน้าๆ

พิธีกร: เฌอปรางแนะนำน้องหน่อยไหมครับ ว่าเป็นกัปตันที่ดีต้องเป็นอย่างไร?

เฌอปราง: หนูไม่ได้เป็นกัปตันที่ดี คงแนะนำน้องไม่ได้ค่ะ

อร: ไม่ พี่ดีแล้ว

ปัญ: สำหรับหนู หนูอยากเป็นกัปตันที่ดีอย่างพี่เฌอ แต่ไม่ได้อยากเป็นแบบพี่เฌอทุกอย่าง หนูอยากเป็นกัปตันแบบที่ปัญเป็น เพราะเรามีสไตล์การบริหารที่ต่างกันไป เพราะพี่เฌออายุเยอะ แล้วก็อาจจะสั่งน้องๆ ได้ แต่หนูยังเด็ก ถ้าดูอายุของน้องๆ ใน BNK48 หนูก็ยังกลางๆ เด็กๆ ถ้าหนูไปสั่งกลุ่มชราไลน์ พี่ๆ อาจจะรู้สึกแปลกๆ บางคน 23 แต่หนูแค่ 17 หนูอยากทำตัวเป็นเพื่อนที่แนะนำ ไม่ใช่คนที่มาเรียกร้อง สั่งให้ทำอะไร นี่ไม่ได้หมายความว่าพี่เฌอชอบสั่งคนอื่นนะคะ แต่นี่คือสไตล์หนู หนูจะไม่เป็นเผด็จการ หนูอยากเป็นกัปตันที่เฟรนด์ลีย์

อร: หนูคิดว่า ถ้ามีกัปตันแบบพี่เฌอก็จะเครียดไป ไม่ได้ว่าพี่เฌอไม่ดี แต่อรว่าพี่เฌอดูภาพรวมนะดีแล้ว หนูคิดว่าการที่มีกัปตันแบบปัญนะ ดีแล้ว แล้วก็ตอบแทนชราไลน์ให้นะ เอาง่ายๆ พวกเราเป็นกลุ่มคนแก่ ที่จริงอรเกือบจะน้องเล็กสุดในกลุ่ม เนยคือเด็กสุดแล้วรองมาคือหนู นอกนั้น 20 ขึ้นไป ชราไลน์ตอบกลับมาว่า ขี้เกียจ ไม่อยากรับตำแหน่งที่ดูยิ่งใหญ่มาก คือเป็นเมมเบอร์ ติดเซ็มบัทสึก็โอเคแล้ว นี่แหละค่ะที่เขาฝากมา คือเขาไม่ได้มีปัญหากับการที่เด็กกว่าจะเป็นกัปตันหรือเป็นเซ็นเตอร์ เขาโอเคในจุดเขาอยู่แล้ว คือเคยมีคนถามคำถามนี้เหมือนกัน เป็นประเด็น พวกเราก็ถกกัน ให้ไปเหอะๆ คือขออยู่ทำหน้าที่ตัวเองแบบคนแก่

พิธีกร: เฌอปรางอยากภาษาอังกฤษสักข้อไหมครับ?

(ภาษาอังกฤษ)

ปัญ: ชื่ออะไร?

เฌอปราง: หนูชื่อเฌอปราง จบแล้วค่ะ

 

 

Episode 4: อร “ความทะเยอทะยานที่ไม่ทำให้ใครเดือดร้อน น่าจะเป็นเรื่องที่ดี”

พิธีกร:  อรหรือปัญก่อนดี?

ปัญ: พี่อรก่อนค่ะ หนูกลัว

พิธีกร: เมื่อกี้เฌอจะพูดว่าอะไร?

เฌอปราง: น้องๆ ทุกคนก็จะมีทิศทางของตัวเองที่อยากจะไปอยู่ สำหรับเฌอ จริงๆ แล้วถ้าเกิดอีก 10 ข้างหน้ายังคงมีงานในวงการบันเทิงอยู่ ยังสามารถต่อยอดอะไรได้ต่อเฌอก็ยังทำนะคะ แค่ว่าอาจจะทำควบคู่กัน 2 อย่างไป

อร: หน้าเหี่ยวแล้วพี่เฌอตอนนั้นอะ

ปัญ: โอ๋เอ๋ๆ ดีกันๆ (หัวเราะ)

พิธีกร: ก็ยังอีกไกลเนอะ 2 เดือนที่แล้ว พี่ก็ไม่รู้ว่าจะได้มาสัมภาษณ์ 3 คน

ปัญ: ถึงตื่นเต้นแล้วก็กินน้ำใช่ไหมคะ

เฌอปราง: นี่ก็ไปแซวเขา

พิธีกร: แฟนคลับบอกว่าอรเป็นเด็กที่มีความเป็นผู้ใหญ่มาก เพราะว่าดูแลตัวเองมาตั้งแต่เด็กๆ ตอนนี้อายุเท่าไหร่นะครับ?

อร: 20 ค่ะ

พิธีกร: นึกภาพตัวเองตอนอายุ 35 มันจะเติบโตไปยังไง

อร: 35 เลยหรอคะ ตอนนั้นก็คงต้องดูแลตัวเองค่ะ โทษนะเป็นความฝันของผู้หญิงทุกคน อาจจะมีแต่งงาน 35 ยังไม่แต่งมันก็กระไรอยู่ปะ แต่ขอโทษค่ะ ไร้สาระไปหน่อย ก็คงแบบดูแลตัวเอง ครอบครัว

เฌอปราง: ได้ข่าวว่าอยากเปิดร้านเสื้อผ้า ใช่

อร: คือหนูเรียนแฟชั่น แล้วก็สนใจด้านแฟชั่นเป็นพิเศษตั้งแต่เด็กแล้ว หรือว่าเป็นเมคอัพ ก็คืออยากเป็นเจ้าของแบรนด์สักอย่างนึง

ปัญ: Co-director กันไหมครับ อยากเหมือนกัน

เฌอปราง: เดี๋ยว ไอ้นี้มันสายเต้นไม่ใช่หรอ

ปัญ: ได้หมด

พิธีกร: ไหนๆ พูดเรื่องแฟชั่นแล้ว ก็คือมี #ornista ลองเลือกมาสักรูป แล้วก็บอกหน่อยว่าการแต่งตัวของตัวเอง ทำไมถึงแต่งแบบนี้ 

อร: อันนี้แล้วกันนะคะ นี่เป็นแบบ Old fashion ค่ะ Old fashion เป็นฟีลที่เราสามารถนำยุคประมาณ 90s หรือ 80s ที่จะมาแมตช์ในชุดเรา นี่มันก็ออกแนวสตรีทด้วยนะคะ แล้วตอนนั้นเป็นครั้งแรกที่ใส่วิกหน้าม้า

อร: ลักษณะนิสัยหนูจะค่อนข้าง Freedom มาก เหมือนแล้วแต่อารมณ์ว่าวันนั้นอยากจะแต่งตัวแนวไหน อย่างที่หนูชอบจะเป็นสตรีทแฟชันคือจะออกแนวแบบลุยๆ แล้วตอนที่หนูเรียน อาจารย์ก็จะบอกว่าหนูมีความ Minimalism นิดนึง Minimalism ก็คือน้อยแต่มาก เรียบแต่โก้ ไฮแฟชั่น

พิธีกร: รูปไหนที่สะท้อนตัวตนความมินิมอล

อร: มินิมอล อันนี้ก็ได้ค่ะ นี่ดูมินิมอลดี หนูก็เลยถ่ายกับกำแพง ฟีลโทนนี้ Mood and tone ในการลงรูปในไอจีด้วย เพราะหนูคิดว่าการลงรูปในไอจีสวยๆ ก็เป็นช่องทางหนึ่งในการทำการตลาด ก็คือเหมือนถ้าลงรูปแฟชั่นเยอะ หรือแนวโพส หรือ Compose ที่ดี mood and tone ที่ไปในแนวแฟชั่น มันก็จะเป็น target กลุ่มนี้อะค่ะ หนูก็ตกคนที่สายแฟชั่นเหมือนกันก็มี ชอบความสวยความงามก็จะมาถาม พี่อรใช้อะไร หลังไมค์มาพี่อรใช้อะไร แต่งตัวยังไง แต่ขอโทษ ตอบไม่ได้จริงๆ ค่ะ แต่เห็นนะคะ แต่เห็น รับฟัง

ปัญ: มีหลายคนค่ะที่สามารถทำให้เป็นที่น่าสนใจผ่านอินสตาแกรม เช่น พี่แคน คุณไข่ พี่ไข่มุก ครัวคุณไข่ทำขนม โมบายก็จะฮาราจุกุ คือทุกคนก็จะพยายามแสดงความเป็นตัวเองผ่านอินสตาแกรมให้คนรู้

พิธีกร: ผมอยากฝากไปบอกให้น้องก่อนเขาเปลี่ยนกล้องแล้วก็มือถือ

เฌอปราง: เปลี่ยนแล้วหนิ

ปัญ: มันไม่ชัดใช่ปะคะ

พิธีกร: มันเบลอมากเลยครับ

อร: อาจจะถ่ายกล้องหน้าปะ กล้องหน้าพิกเซลมันน้อย

เฌอปราง: แสงน้อยๆ

ปัญ: อ๋อ พี่ก่อนเขาใช้แอปพลิเคชันถ่ายรูปที่มันจะเป็นกล้องฟิล์มค่ะ

พิธีกร: ชอบอรอย่างนึง ออนเคยประกาศเลยว่าจะติดคามิ 7 ก็คือท็อป 7

อร: ก็คือมาจากรุ่นพี่ AKB48 ที่ประมาณว่า เขานับกันที่เลข 7 ใช่ แล้วก็เหมือนทุกการเลือกตั้งเขาจะติด

เฌอปราง: เหมือน 7 คนนี้จะติด แต่ว่าสลับตำแหน่งไปมา แต่ว่าก็อยู่ใน 7 อันดับนี้ เรียกว่าคนที่มีชื่อเสียงที่สุด 7 คน

อร: ใช่ อรก็จะพยายามต่อไปเพื่อให้ติดคามิ 7

พิธีกร: ที่บอกว่าชอบ เพราะว่าเด็กไทยยุคพี่นี่เกิดมาด้วยความที่ว่าความทะเยอทะยานมันเป็นสิ่งอันตราย ใช่ๆ แต่ว่าอรประกาศเลยว่าอยากติด

อร: ไม่ คือหนูไม่ได้ดูมั่นหน้าขนาดนั้นนะ บางทีการที่เราอยู่ในวงที่มีจำนวนคนเยอะแล้ว ก็มีการแข่งขันสูง แล้วเราไม่แสดงจุดยืนอะไรเลย มันจะเหมือนหลักที่ลอยอยู่ในทะเล คุณก็แค่ติดเซ็ม มันดูเหมือนเรามีความพยายามแต่ไม่แสดงออกมา มันก็ดูไม่มีความหมายเหมือนกันนะคะ ในอีกมุมนึงก็คือ คนนอกก็จะแบบ ทำไมเด็กคนนี้ไม่มีความพยายาม คือคนภายนอกเขาก็จะมอง หรือผู้บริหารก็จะไม่เห็น คือการที่หนูประกาศขึ้นมาเพื่อที่หนูจะแสดงถึงจุดยืนของหนูที่อยู่ในวงค่ะ หนูเชื่อว่าหลายคน ไม่ใช่แค่หนู คือทุกคนมีความทะเยอทะยานเป็นของตัวเองอยู่แล้ว คือหนูก็แค่แสดงจุดยืนว่าหนูอยากติดคามิ 7 คือถึงไม่ติดก็ไม่เป็นไร แต่แค่แสดงจุดยืน แล้วก็แสดงตัวตนออกมา

พิธีกร: ซึ่งเป็นสิ่งที่ในวงนี่คือ ความทะเยอทะยานเป็นสิ่งที่?

เฌอปราง: บางคนมี บางคนไม่มีค่ะ

อร: ใช่ บางคนไม่มีก็ไม่มีเลย

ปัญ: ทุกคนคงมี แต่แค่ไม่ต้องการขนาดนั้น

อร: หรือไม่เขาอาจจะไม่ได้แสดงออกมากกว่า แต่หนูแค่แสดงออกมา หนูก็เสี่ยงเหมือนกันนะคะที่จะโดนด่า หรือว่าแฟนคลับคนอื่นก็จะทำไมอรกล้าพูด โอชิตัวเอง คือมันก็มีด้านลบมาให้หนูได้ยินบ้าง แต่หนูก็ไม่เป็นไร หนูก็ทำในจุดของหนูให้มันดีที่สุด เพื่อที่จะติดคามิ 7 ให้ได้ ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ฉันก็ทำ

พิธีกร: แต่เราว่ามันก็คือความทะเยอทะยาน มันไม่ใช่เรื่องผิด เพราะเราไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน

อร: ใช่ค่ะ แต่ทะเยอทะยานอย่างมีลิมิต คือไม่ใช่ทะเยอทะยาน ฉันจะเป็นเซ็นเตอร์ ฉันจะทำทุกอย่างเพื่อให้ได้เป็นอันนั้นมันก็โหดไป

เฌอปราง: อันนั้นเห็นแก่ตัว

อร: มันจะมีความทะเยอทะยานกับเห็นแก่ตัว มันก็ดูเป็นเส้นบางๆ กั้น ก็ขึ้นอยู่กับความคิดและ Mindset ว่า เราจะเลือกไปทางไหนที่มันดี

พิธีกร: แต่เราจะบอกว่าความทะเยอทะยานไม่ใช่เรื่องไม่ดี เพราะว่าพวกคุณไม่ได้แข่งกันเอง แต่ว่ามันมีวงอื่นๆ ด้วย เช่น JKT แล้วเราก็เป็นประเทศที่อยู่ในโลกใบนี้ ที่เราก็ต้องทะเยอทะยานต่อไปเรื่อยๆ ที่เราบอกว่าเราชอบอรเพราะว่ามันเป็นความทะเยอทะยานที่ดี

เฌอปราง: จริงๆ แล้ว BNK48 เรามีความทะเยอทะยานมาก มีเป้าหมายสูงมาก ไม่ใช่แค่ในประเทศไทย เราอยากไปถึงระดับเอเชีย รวมถึงที่จริงแล้วได้คุยบ้าง CEO ทางนู้นตั้งใจว่าอยากให้ 48 กรุ๊ปเป็นอะไรที่ระดับโลกค่ะ เพราะฉะนั้นเราเป็นส่วนหนึ่ง ที่ก็พยายามจะก้าวไปให้ถึงตรงนั้นด้วยกันกับเขา

พิธีกร: เพราะฉะนั้นทุกอณูของมันก็ต้องผลักดัน

เฌอปราง: ใช่ค่ะ แข่งขันกันเอง รวมถึงแข่งขันกับภายนอกด้วย

อร: กับ 48 กรุ๊ป กรุ๊ปอื่นๆ ด้วย

พิธีกร: เดี๋ยวพี่จะไปซื้อนาฬิกาปลุกเพิ่ม พี่จะเป็นหนึ่งในอณูนั้นเอง


 

Episode 5: “ขอหนึ่งอย่างที่จะเปลี่ยนสังคมนี้ จะเปลี่ยนอะไร?”

 

พิธีกร: ถ้ามีพร 1 อย่าง ที่จะเปลี่ยนสังคมหรือว่าประเทศนี้ พี่เข้าใจว่าทุกวันนี้มันยากมากในการตื่นเช้า รถติด ไปซ้อม ที่ญี่ปุ่นนั่งรถไฟครึ่งชั่วโมงไปซ้อมได้เลย แต่เราต้องขับรถ 2 ชั่วโมง อะไรที่อยากจะทำให้ไปสู่จุดหมายได้ง่ายขึ้น?

เฌอปราง : อันนี้สำหรับตัวเรา เป็นสังคมเพื่อสำหรับตัวเรา

ปัญ : Not me first

อร : Me? เรื่อง Cyberbully แล้วกัน อย่างที่หนูเคยพูดใน Live Voov ไปแล้ว การที่เราเป็นบุคคลสาธารณะ ไม่ได้หมายความว่าเราจะต้องโดนด่าแบบสาธารณะ ไม่ใช่แค่พวกเราจะโดนด่า หรือเป็นคนกันเองในโลกโซเชียลที่สามารถเป็นนักเลงคีย์บอร์ดได้หมด คือเราสามารถแสดงความคิดเห็น เราสามารถทำอะไรก็ได้ที่ดูมีพลังในโลกไซเบอร์ ในโลกโซเชียล

เฌอปราง : คำพูดมีพลังของมันอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเล็กน้อยแค่ไหนก็ตาม

อร : ใช่ สมมุติคำว่าอ้วน เป็นแค่คำเดียว คนที่เฟลอยู่แล้วก็ยิ่งเฟลหนัก หรือคนที่โดนบีบบังคับ บางคนเป็นโรคซึมเศร้า คือบางคนยิ่งอยู่ในจุดที่เขาไม่สามารถออกมาพูดอะไรได้มาก หนูว่าทุกคำพูดในโลกโซเชียล หรือว่าพฤติกรรมการเล่นโซเชียลของเรา การเสพ การที่แชร์ข่าว อะไรก็ตามในโลกโซเชียล อยากให้มีสติในการที่จะแชร์ จะโพสต์ จะคอมเมนต์ จะพูดอะไร อยากให้เราเคารพกันในความเป็นมนุษย์มากขึ้นค่ะ

เฌอปราง : ให้มองว่ามันคือการที่เราพูดต่อหน้าคนคนหนึ่งเช่นกัน เหมือนปกติ

อร : ใช่ เหมือนเราอยากเจอคำพูดแบบไหน เราก็ให้คำพูดแบบนั้นคนอื่น ให้แคร์กันมากขึ้น

เฌอปราง : อันนี้คืออรเจอมากับตัว ทำให้อรชอบพูดแบบนี้ใช่ไหม อันนี้เขาถามถึงตัวเองอยากให้เปลี่ยนเพื่อตัวเองด้วยนะ

อร : ใช่ คือเจอมากับตัว หนูก็เลยพูดประเด็นนี้ขึ้นมาค่ะ

พิธีกร: ดี เป็นประเด็นที่ดีครับ แล้วเฌอปรางล่ะ

เฌอปราง : ของเฌอคงเป็นเรื่องสามัญสำหรับทุกคน อยากเปลี่ยนผังเมืองค่ะ ก็ตามนั้นจริงๆ ที่เคยตอบไปแล้วของที่หนึ่ง เพราะว่ารถเราก็ติดด้วยเหตุผลหลายๆ อย่าง อาจจะไม่เชิงเปลี่ยนทั้งหมด แต่ถ้าเปลี่ยนได้คืออยากเปลี่ยนให้มีการเดินทางที่เป็นสาธารณะมากขึ้น รถไฟมากขึ้น

อร : เหมือนให้ความสำคัญกับเส้นทางสาธารณะมากขึ้น

เฌอปราง : ใช่ คือเวลามันสำคัญกับพวกเราจริงๆ ไม่ใช่แค่ตัวเฌอเอง สำหรับทุกคน ทุกคนที่ทำงาน ทุกคนที่ไปไหนมาไหน ถ้าเราสามารถลดเวลาในการเดินทางได้ มันดี มันดีไป เวลามีค่า เวลามีค่ามากๆ เพราะฉะนั้นถ้าเซฟได้ก็อยากให้เซฟค่ะ

ปัญ : หนูอยากจะออกจากห้องมากเลยค่ะ

เอม : ภาษาอังกฤษไหม?

ปัญ : ไม่ค่ะ เครียดหนักกว่าเดิม คือหนูรู้สึกว่าหนูยังไม่สามารถมองขาดได้ว่าสังคมตอนนี้เป็นอย่างไร เพราะว่าหนูไม่ชอบดูข่าว หรืออะไรต่างๆ คือหนูก็ไม่ค่อยได้ดู เหมือนสิ่งที่อยากก็คือเหมือนที่พี่ก็เคยพูดใช่ไหมคะว่า เด็กสมัยนี้ รู้สึกว่าทะเยอทะยานเป็นเรื่องอันตราย เหมือนที่มิวสิคพูดในสัมภาษณ์หนึ่งว่า แค่เราลอง มันก็โอเคแล้ว อย่างน้อยเรากล้าที่จะทะเยอทะยาน หนูก็เป็นคนที่ขี้กลัว ไม่กล้าทำอะไรเหมือนกัน เพราะว่ากลัวว่ามันจะผิด หรือกลัวว่ามันจะออกมาไม่ดี กลัวอายตัวเองด้วย ซึ่งพอหนูเข้ามาอยู่ใน BNK48 มันทำให้จุดนี้มันค่อยๆ ดีขึ้นเรื่อยๆ อย่างน้อยเราก็ได้ทำ เป็นสิ่งที่เราอยากทำ อย่างน้อยคนก็จะเห็นความพยายามของเรา หรือเห็นสิ่งที่เราทำ หนูก็อยากจะให้ทุกๆ คน กล้าที่จะทำ อย่างน้อยมันก็จะมีอะไรมากขึ้น นอกจากการอยู่นิ่งๆ แล้วก็รอให้คนอื่นสั่ง

พิธีกร: ครับผม ขอบคุณมากครับ

 

 

หมายเหตุ: ขอบคุณแอดมินเพจ สาวกแม่อร – Orn BNK48 และ House of cherodinger.com สำหรับคำแนะนำเรื่องคำถามครับ

podcast

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้ และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณเพื่อเราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมกับความสนใจของคุณ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมเราจะไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาและโฆษณาได้ไม่ตรงกับความสนใจของคุณ
    รายละเอียดคุกกี้

บันทึกการตั้งค่า