กกต.ชี้แจง บัตรเกิน-รื้อหีบนอกเขต-สลับรถขนบัตร ล้วนเข้าใจผิด

วันที่ 26 มี.ค. สำนักประชาสัมพันธ์ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เผยแพร่ข้อมูลชี้แจงข้อสงสัยในโลกออนไลน์กรณีการเลือกตั้ง ส.ส.เมื่อวันที่ 24 มี.ค. ที่ผ่านมา โดยมีกรณีที่น่าสนใจ เช่น

การรายงานผลการนับคะแนนการเลือกตั้ง ส.ส. อย่างไม่เป็นทางการของ กกต. ที่ปรากฎทางสื่อสังคมออนไลน์ว่ามีจำนวนบัตรเลือกตั้งที่ใช้ในการลงคะแนนมากกว่าจำนวนผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้ง กกต.ชี้แจงว่า เป็นข้อมูลที่ยังไม่มีความสมบูรณ์ครบถ้วนทุกหน่วยเลือกตั้ง ประกอบกับระบบการรายงานผลในช่วงเวลาดังกล่าวเกิดความขัดข้องทางเทคนิคทำให้ข้อมูลที่รายงานออกไปเกิดความคลาดเคลื่อน ซึ่งภายหลังตรวจพบแล้วได้แก้ไขทันที

กรณีทหารชะโงกมองเข้าไปในคูหาเลือกตั้งของทหารนายอื่น กกต. ชี้แจงว่า ทหารประจำการของกองพลทหารม้าที่ 2 สนามเป้า ใช้สิทธิเลือกตั้งในหน่วยเลือกตั้งที่ 34 เขตเลือกตั้งที่ 6 เขตพญาไท ทหารผู้ที่ชะโงกเข้าไปดูการลงคะแนนเป็นผู้ที่จะลงคะแนนในลำดับต่อไป และหลังจากลงคะแนนแล้วก็ได้ออกจากหน่วยเลือกตั้งไป จึงมีการชะโงกมองทหารผู้ที่กำลังลงคะแนนเพียงครั้งเดียว อย่างไรก็ตามได้สั่งให้มีการตรวจสอบเพิ่มแล้ว หากพบาการลงคะแนนดังกล่าวมิได้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม อาจสั่งให้มีการเลือกตั้งใหม่ในหน่วยนี้

กรณีปรากฎข่าวทางสื่อสังคมออนไลน์ว่า กรรมการประจำหน่วยเลือกตั้งนับบัตรเลือกตั้งไม่ถูกต้อง วินิจฉัยบัตรเสียว่าเป็นบัตรดี กกต.ชี้แจงว่า จากการตรวจสอบการปฏิบัติหน้าที่ของกรรมการประจำหน่วยเลือกตั้งที่ 44 เขตเลือกตั้งที่ 7 กรุงเทพมหานคร พบว่ากรรมการขานให้เป็นบัตรดี แต่เมื่อมีผู้ทักท้วงก็ได้ประชุมหารือและได้วินิจฉัยให้บัตรเลือกตั้งฉบับดังกล่าวเป็นบัตรเสียแก้ไขข้อผิดพลาดในการปฏิบัติงานให้ถูกต้องตามกฎหมายแล้ว

กรณีเจ้าหน้าที่ประจำหน่วยที่เพชรบูรณ์ เปิดหีบบัตรนับคะแนนนอกหน่วยเลือกตั้ง กกต.ชี้แจงว่า เป็นการปฏิบัติหน้าที่ของกรรมการประจำหน่วยเลือกตั้งที่ 2 ตำบลน้ำชุน อำเภอหล่มสัก จังหวัดเพชรบูรณ์ ที่ตรวจนับคะแนนที่หน่วยเสร็จแล้ว และนำอุปกรณ์มาส่งให้กับคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำเขตเลือกตั้งที่ 1 จังหวัดเพชรบูรณ์ ณ บริเวณหน้าที่ว่าการอำเภอเมืองเพชรบูรณ์ ในเวลา 20.30 น. ระหว่างรอหน่วยอื่นส่งอุปกรณ์ได้ตรวจสอบความถูกต้องของแบบรายงานประจำหน่วยเลือกตั้งอีกครั้งหนึ่ง

กรณีข่าว กกต. 2 คนถูกปลดเพราะสลับรถขนบัตรเลือกตั้ง กกต.ชี้แจงว่า เป็นข่าวปลอมและได้แจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ปอท.) เพื่อดำเนินการสืบสวนสอบสวนนำตัวผู้กระทำความผิดมารับโทษตามกฎหมายต่อไปแล้ว