กระแสโลก คนรุ่นใหม่มีเซ็กส์กันน้อยลง

น่าแปลกใจว่า ทั้งที่วัฒนธรรมปัจจุบันเห็นว่าการมีเซ็กส์ก่อนแต่งงานไม่ใช่เรื่องผิดบาป อัตราการติดเชื้อ HIV ต่ำลง ผู้หญิงส่วนใหญ่ได้รับการคุมกำเนิดฟรี มีแอพลิเคชันอย่างทินเดอร์ หนังโป๊เข้าถึงได้หลากหลายรูปแบบ แต่คนรุ่นใหม่กลับมีเซ็กส์กันน้อยลง

ฌอน เอ็ม ทเว็งก์ นักจิตวิทยามหาวิทยาลัยซานดิอาโกทำวิจัยที่อธิบายเรื่องนี้ โดยบอกว่าปัจจุบันหนุ่มสาวอเมริกันมีแนวโน้มที่จะมีคู่ขาน้อยลงกว่าคนรุ่นก่อน ๆ โดยคนอายุ 20 ต้นๆ สามารถทนไม่ปลดปล่อยทางอารมณ์ได้มากกว่าผู้ใหญ่เจนฯเอ็กซ์ได้ถึง 2.5 เท่า โดยร้อยละ 15 ของกลุ่มประชากรบอกว่าไม่ได้มีเซ็กส์เลยตั้งแต่เข้าสู่วัยเจริญพันธุ์

ปรากฎการณ์นี้ไม่ได้พบแค่ในวัยหนุ่มสาว คนวัย 40 ขึ้นไปก็มีเซ็กส์น้อยกว่าคนรุ่นก่อนหน้าตอนอยู่ในช่วงอายุเดียวกัน โดยตัวเลขลดลงจาก 62 ครั้งต่อปีเหลือแค่ 54 ครั้งต่อปี และยังลดลงเรื่อย ๆ

เมื่อศึกษางานวิจัยทั่วโลกก็จะพบว่าปรากฎการณ์นี้มีในประเทศอื่นด้วยเช่นกัน การสำรวจความคิดและคุณภาพชีวิตระดับชาติของสหราชอาณาจักรพบว่าการมีเซ็กส์ของคนมีอัตราที่ลดลง ปี 2001 คนอายุระหว่าง 16-44 ปี มีเซ็กส์เฉี่ยแล้วเดือนละ 6 ครั้ง พอมาถึงปี 2012 ตัวเลขปรับลดลงมาเหลือเดือนละ 5 ครั้งหรือน้อยกว่า คนออสเตรเลียมีเซ็กส์ลดจากสัปดาห์ละ 1.8 ครั้งเหลือ 1.4 ครั้ง ส่วนฟินแลนด์พบว่าคนชอบช่วยตัวเองมากกว่าหาคู่นอน

นอกจากมีเซ็กส์น้อยแล้ว ยังมีเซ็กส์กันช้าขึ้นด้วย งานวิจัยของศูนย์ป้องกันและควบคุมโรคสหรัฐฯ ที่สำรวจประชากรตั้งแต่ปี 1991 ถึง 2017 ชี้ว่าคนเริ่มมีเซ็กส์กันช้าลงต่างหาก โดยนักเรียนมัธยมปลายที่ผ่านการมีเพศสัมพันธ์มีจำนวนน้อยลง จากร้อยละ 54 เป็นร้อยละ 40 หมายความว่าจากที่การมีเซ็กส์เคยเป็นเรื่องที่ใคร ๆ ก็เคยมีกันของเด็กม.ปลายในอเมริกันปัจจุบันก็ไม่ได้เป็นตามนั้นแล้ว ในเนเธอร์แลนด์ก็พบว่าอายุเฉลี่ยที่คนมีเซ็กส์ครั้งแรกจากอายุ 17.1 ปี เพิ่มเป็น 18.6 ปี

เฮเลน ฟิชเชอร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการศึกษาความรักและเพศสัมพันธ์ บอกว่าการมีเซ็กส์น้อยลงเป็นผลมาจากการอยู่เป็นคู่ที่ร้อยลง โดย 25 ปีที่ผ่านมาคนแต่งงานกันน้อยลง ในระยะแรกนักวิชาการคิดว่าการแต่งงานน้อยเป็นเพราะคนอยู่ด้วยกันแบบไม่แต่งงานเพิ่งมากขึ้น แต่ตัวเลขคู่รักที่อยู่ร่วมกันโดยไม่ได้สมรสก็ไม่ได้เพิ่มขึ้นโดยสอดคล้องกัน ปัจจุบันคนอเมริกันอายุต่ำกว่า 35 ปีอยู่โดยไร้คู่กว่า 60 เปอร์เซ็น

อ่านงานวิจัยได้ที่ https://link.springer.com/article/10.1007/s10508-017-0953-1