SHARE

คัดลอกแล้ว

แฟ้มภาพจากเพจ การคัดกรองนักเรียนยากจน

กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา เร่งสำรวจนักเรียนประสบปัญหายากจน เผยสถานะนักเรียนยากจน จำนวนกว่า 1.69 ล้านคน ยากจนพิเศษ 6 แสนคน จ.แม่ฮ่องสอน ตาก นราธิวาส ยะลา น่าน พบปัญหามากที่สุดในประเทศ เตรียมรับฟังความเห็นหลักเกณฑ์ช่วยเหลือกลุ่มเป้าหมายเร่งด่วน

วีนที่ 8 ส.ค. 2561 กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) จัดทำผลสำรวจสถานะนักเรียนยากจนและยากจนพิเศษ ปี 2561 โดยใช้เกณฑ์การคัดกรองนักเรียนยากจนด้วยวิธีการวัดรายได้ทางอ้อม (Proxy Mean Tests) หรือ PMT พบว่า มีนักเรียนที่ผ่านเกณฑ์การคัดกรองแบบ PMT ที่มีรายได้ครัวเรือนน้อยกว่า 3,000 บาทต่อคน/เดือน และมีภาระพึ่งพิง ที่อยู่อาศัยทรุดโทรม ไม่มียานพาหนะ เป็นเกษตรกรที่ไม่มีที่ดินทำกิน รวมทั้งหมด 1,696,433 คน โดยแบ่งเป็นนักเรียนยากจน 1,075,476 บาท และนักเรียนยากจนพิเศษ 620,937 คน ซึ่งกลุ่มหลังเป็นกลุ่มที่ต้องได้รับการช่วยเหลือเร่งด่วน เพราะครอบครัวมีรายได้เฉลี่ยต่อคน 1,281 บาทต่อเดือน หรือเฉลี่ยวันละ 42.7 บาท เท่านั้น ไม่เพียงพอแม้แต่ค่าอาหารเช้าที่มีคุณค่าทางโภชนาการ

ภูมิภาคที่มีนักเรียนยากจนพิเศษหนาแน่นที่สุด คือ ภาคเหนือ ในบริเวณพื้นที่สูงและตะเข็บชายแดน มีเด็กยากจนพิเศษมากที่สุด 10 อันดับแรก ได้แก่ แม่ฮ่องสอน ตาก นราธิวาส ยะลา น่าน สตูล เชียงใหม่ ปัตตานี นตรราชสีมา มหาสารคาม

ดร.ไกรยส ภัทราวาท ผู้ช่วยผู้จัดการ กสศ. กล่าวว่า แม้ว่านักเรียนยากจนพิเศษจะได้รับการสนับสนุนจาก สพฐ. ในรูปแบบการจัดสรรเงินอุดหนุนปัจจัยพื้นฐานนักเรียนยากจน แต่ยังไม่เพียงพอเนื่องจาก เงินเฉลี่ยวันละ 5 บาท สำหรับนักเรียนประถมและวันละ 15 บาทสำหรับนักเรียนมัธยม ที่สพฐ.สนับสนุนนั้น น้อยมากเมื่อเทียบกับค่าครองชีพในปัจจุบัน เช่น ค่าเดินทางไป-กลับ โรงเรียน หรือ ค่าอาหาร และค่าเครื่องแบบ ซึ่งล้วนมีค่าใช้จ่ายสูงกว่าเงินอุดหนุนที่รัฐจัดสรรให้ และไม่ได้มีการปรับเพิ่มตามอัตราเงินเฟ้อมานานกว่า 10 ปีแล้ว โดยมูลค่าที่แท้จริงของเงิน 1,000 บาทเมื่อปี 2550 เหลือเพียง 800 บาทในปี 2560 จุดนี้เองทำให้นักเรียนยากจนจำนวนมากมีความเสี่ยงที่จะออกจากระบบการศึกษาเนื่องจากปัญหาความยากจน

ดร.ไกรยส ภัทราวาท ผู้ช่วยผู้จัดการ กสศ

“เด็กยากจนพิเศษเป็นแค่หนึ่งในกลุ่มเป้าหมายที่ กสศ. มีแผนช่วยเหลือ กองทุนมีแผนทำงานร่วมกับโรงเรียนในสังกัดอื่นๆด้วย เช่น องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ของกระทรวงมหาดไทย โรงเรียนสังกัดตำรวจตระเวนชายแดน เพื่อให้ครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมายอย่างเสมอภาค โดยจะมีการประชุมรับฟังความเห็นเกี่ยวกับหลักเกณฑ์การช่วยเหลือกลุ่มเป้าหมายจากทุกภาคส่วน 4 ภูมิภาค ในช่วงเดือนสิงหาคมและต้นเดือนกันยายนนี้เพื่อให้การสนับสนุนของ กสศ.มีความเป็นธรรม เกิดประโยชน์ไปถึงกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการความช่วยเหลืออย่างแท้จริง ”

จากงานวิจัยของ OECD ได้วิเคราะห์จากผลสอบ PISA พบว่า ประเทศไทยมีนักเรียนยากจน และมีศักยภาพทำคะแนนสูงในระดับนานาชาติได้ หรือ เรียกว่า Resilient student อยู่ประมาณ 3.3 % โดยหากสนับสนุนปัจจัยทางเศรษฐกิจให้กับนักเรียนกลุ่มนี้อย่างเต็มที่ จะสามารถเพิ่มจำนวนของนักเรียนกลุ่มนี้ได้ 6 เท่า หรือ ประมาณ 400,000 คน อย่างไรก็ตาม บทเรียนจากนานาชาติ ทั้งเวียดนาม มาเลเซีย บราซิล ฟินแลนด์ สิงคโปร์ ยืนยันชัดเจนว่า การใช้เงินแก้ปัญหาอย่างเดียวนั้นไม่พอ ต้องปฏิรูประดับโครงสร้างโดยภาครัฐ กองทุนให้น้ำหนักอย่างมากกับการพัฒนาคุณภาพของสถานศึกษาและการพัฒนาครู เราจึงเน้นสร้างสรรค์งานวิจัย ที่ร่วมมือกับนานาชาติและทดลองปฏิบัติจริง เพื่อจัดทำข้อเสนอระดับนโยบายให้กับรัฐบาล

วีรณัฐ ทนะวัง ร.ร.บ้านผาเวียง และ ชลชนก หนูรอด ผอ.ร.ร.วัดโคกสำโรง

ด้านนายวีรณัฐ ทนะวัง ครูโรงเรียนบ้านผาเวียง จังหวัดน่าน กล่าวว่า 13 ปีที่อยู่ในพื้นที่ ครูก็ลำบาก เด็กก็ลำบากเช่นกัน ครอบครัวของนักเรียนในพื้นที่ส่วนใหญ่ยากจนทำอาชีพปลูกไร่ข้าวโพด ที่อยู่อาศัยต้องลักลอบตัดไม้จากเขตอุทยาน ถ้าไม่ตัดก็ไม่มีบ้านอยู่ หลังคาทำจากใบจาก ใบก้อ แม้เด็กเหล่านี้จะได้รับงบจาก สพฐ. ราว15 บาท/วัน เพื่อสนับสนุนการเดินทางแต่ในพื้นที่รถไม่สามารถวิ่งได้โดยเฉพาะช่วงฤดูฝน ในแต่ละวันเด็กๆต้องใช้ระยะเวลาเดินเท้ามาโรงเรียน 40 นาทีถึง1 ชั่วโมงต่อเที่ยว เพราะถนนทั้งสายกลายเป็นโคลนหนาและเต็มไปด้วยร่องลึกลื่น โดยเส้นทางส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ของกรมอุทยานจึงไม่สามารถลาดยางได้ การเรียนของเด็กบนดอยนั้น ไม่มีทางเท่าเทียมกับเด็กพื้นราบ ลำพังจำนวนครูนั้นไม่เพียงพอ โรงเรียนก็ขาดงบประมาณในการจ้างครูเพิ่ม ไม่มีใครต้องการมาอยู่ในพื้นที่ยากลำบาก

ขณะที่นางสาวชลชนก หนูรอด ผู้อำนวยการโรงเรียนวัดโคกสำโรง กล่าวทั้งน้ำตาว่า โรงเรียนของเราครู 3 คน รับผิดชอบ 8 สาระวิชา ดูแลนักเรียนตั้งแต่ชั้นอนุบาลถึงประถมศึกษาปีที่6 โดยส่วนใหญ่ไม่ค่อยได้รับประทานอาหารเช้า นักเรียน 55 % มีน้ำหนักส่วนสูงต่ำกว่าเกณฑ์ เงิน 20 บาท เป็นค่าอาหารทั้งสามมื้อ ทั้งเช้า กลางวัน เย็น สถานการณ์เช่นนี้ โรงเรียนอยู่เฉยไม่ได้ จึงรวมตัวแม่บ้านประชาอาสา ประมาณ 50 คน ทำอาหารโดยไม่คิดมูลค่า เพราะทุกคนเหมือนครอบครัวเดียวกัน ครูและผู้ปกครองก็พยายามช่วยเหลือกัน

“เราเป็นครูมาหลายปี เห็นชีวิตเด็กยากจนเป็นวงจรที่ไม่สิ้นสุด เข้าๆออกๆโรงเรียน เพราะต้องรอนแรมตามพ่อแม่ไปทำงาน โอกาสเรียนต่อจนจบการศึกษาสูงๆแทบไม่มี ฝันให้ไกลไปกว่าก็นี้ไม่ได้ ลำพังอาหารที่จะกินแต่ละมื้อไม่ต้องคำนึงถึงโภชนาการ ขอให้ครบ 3 มื้อยังลำบากนัก หวังให้ปัญหาเหล่านี้มันจบเสียที ”

ภาพ ครูไปเยี่ยมบ้านนักเรียน…แล้วก็เลยไปถ่ายรูปกับเด็กๆ เพจPayupat Aksorn

podcast

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้ และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณเพื่อเราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมกับความสนใจของคุณ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมเราจะไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาและโฆษณาได้ไม่ตรงกับความสนใจของคุณ
    รายละเอียดคุกกี้

บันทึกการตั้งค่า