“เจ้าอาวาส – ผอ.รร.” ยัน คนสุโขทัยกิน “ต้นอังกาบหนู” หายป่วย 13 ราย เชื่อเป็นสมุนไพรเทวดารักษามะเร็งได้ วอนรัฐวิจัยด่วน
วันที่ 14 ส.ค. 61 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากที่ นายพิภพ ไขแจ้ง อายุ 60 ปี ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านวัดโบสถ์ หมู่ 5 ต.เมืองบางขลัง อ.สวรรคโลก จ.สุโขทัย ได้ออกมาเปิดเผยถึงสรรพคุณของ “ต้นผ่าด้าม” ที่ช่วยฟื้นฟูสมรรถภาพทางเพศได้เป็นอย่างดี ถึงขั้น “ไวอะกร้า” ยังต้องเรียกพี่
ล่าสุด นายพิภพ ไขแจ้ง ได้ออกมาเปิดเผยอีกว่า ยังมีพืชสมุนไพรอีกตัวหนึ่งที่สรรพคุณน่าทึ่งยิ่งกว่า เพราะสามารถรักษาโรคมะเร็งระยะสุดท้ายให้หายได้ เพียงแค่เด็ดกิ่งก้านใบมาต้มดื่มเหมือนน้ำชา โดยกินติดต่อกันไม่กี่เดือนก็จะเห็นผลทันที พืชที่ว่านั้นก็คือ “ต้นอังกาบหนู” ซึ่งมีชื่อท้องถิ่นอื่นๆ ว่า เขี้ยวแก้ง เขี้ยวเนื้อ อังกาบ มันไก่ เป็นต้น ลักษณะของอังกาบหนู เป็นไม้พุ่มเตี้ย สูงประมาณ 1 – 1.5 เมตร ลำต้นเกลี้ยง มีหนามยาวรอบข้อ ออกดอกสีเหลืองตามซอกใบ และปลูกง่ายมาก
นายพิภพ บอกว่า “เมื่อหลายปีที่แล้วป่วยเป็นมะเร็งปอดระยะที่ 2 เพราะสูบบุหรี่จัด และยาปัจจุบันก็ไม่มีรักษา เลยลองหันมาพึ่งพาพืชสมุนไพรพื้นบ้าน โดยพระครูพิพัฒน์สุตากร เจ้าอาวาสวัดโบสถ์ จ.สุโขทัย แนะนำให้เอายอดใบต้นอังกาบหนูที่มีปลูกอยู่ในวัดไปต้มดื่มกินเช้า กลางวัน เย็น ปรากฏว่าแค่เดือนเดียว อาการหายใจติดขัด เจ็บหน้าอก ปวดหลัง ก็หายทันที พอถึง 3 เดือนไปเอกซเรย์ปอดที่กรุงเทพฯ ก็พบว่าจุดดำเริ่มจางลง และหายไปในที่สุด”
นายพิภพ บอกอีกว่า นอกจากตัวเองกินหายแล้ว ยังมีเพื่อนชื่อแดง ชาว อ.ศรีสำโรง อีกคน ป่วยเป็นมะเร็งตับระยะสุดท้าย เขาให้กลับมาตายที่บ้าน จึงแนะนำให้ลองกินต้นอังกาบหนู ปรากฏว่าผ่านไป 1 เดือน อาการท้องแข็งโตเหมือนคนใกล้คลอดก็ยุบลงอย่างเห็นได้ชัด พอกินมาได้ 6 เดือน ท้องที่เคยโตก็ยุบและหายเป็นปกติ ผ่านมา 3 ปีแล้ว ปัจจุบันก็ยังมีชีวิตอยู่ และขับรถไถนาทำงานได้เหมือนเดิม
“อังกาบหนูจะใช้ต้มดื่มเพื่อขับสารพิษตกค้างในร่างกายก็ได้ หรือจะกินใบอ่อนสดๆ เป็นเครื่องเคียงแกล้มลาบก็ดี มีรสออกขมนิดๆ และผมก็กินต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบันเป็นสิบปีแล้ว ทั้งลูกผ่าด้ามและอังกาบหนู ยืนยันรักษาโรคได้จริง และมีประโยชน์ต่อสุขภาพร่างกายแน่นอน จึงอยากให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบและเร่งทำการวิจัยต่อไป” นายพิภพ กล่าว
สำหรับสรรพคุณด้านอื่นๆ ของอังกาบหนู ได้แก่
- ดอกอังกาบ นำมาตากแห้งใช้ปรุงเป็นยาสมุนไพร ช่วยบำรุงธาตุในร่างกาย ช่วยเจริญธาตุไฟได้ดีมาก
- รากหรือใบ ใช้เป็นยาลดไข้ ช่วยแก้หวัดด้วยการนำใบมาคั้นกิน
- รากหรือใบ ใช้ผสมกับน้ำมะนาว ช่วยรักษากลากเกลื้อน
- ราก ใช้เป็นยาแก้ฝี
- ราก ช่วยแก้อาการอาหารไม่ย่อย
- รากของดอกอังกาบสีเหลืองที่ตากแห้งแล้วนำมาต้มเป็นยาดื่ม ช่วยขับเสมหะ
- ใบอังกาบหนู ใช้เคี้ยวแก้อาการปวดฟันได้
- ใบใช้ผสมกับน้ำผึ้ง ช่วยรักษาโรคเลือดออกตามไรฟัน
- น้ำคั้นจากใบ ใช้หยอดหู แก้หูอักเสบได้
- ใบ ยังช่วยป้องกันและแก้อาการท้องผูกได้ด้วย
- ใช้แก้พิษงู (ใบ)
- ช่วยรักษาโรคคัน (ใบ)
- ใบ ช่วยแก้อัมพาต รักษาโรคปวดตามข้อ โรครูมาติซั่ม หรือใช้ทาแก้อาการปวดหลัง แก้ปวด บวม
- สารสกัดจากรากอังกาบหนูมีฤทธิ์ในการคุมกำเนิด โดยมีการทดลองในหนูเพศผู้นานติดต่อกัน 60 วัน พบว่าสามารถคุมกำเนิดได้ 100% เนื่องจากสารสกัดดังกล่าวมีฤทธิ์ในการรบกวนการสร้างสเปิร์ม ลดจำนวนสเปิร์ม และทำให้การเคลื่อนไหวของสเปิร์มลดลง โดยสารสกัดจากอังกาบหนูส่งผลต่อการสร้างสเปิร์ม ทำให้โครงสร้างและหน้าที่ของสเปิร์มผิดปกติไป
ทั้งนี้ นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต อธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก เคยให้สัมภาษณ์ถึงสมุนไพรรักษามะเร็งไว้ว่า กรมฯ มีนโยบายในการสนับสนุนสมุนไพรเพื่อบำบัดรักษาโรคมาตลอด โดยได้อนุรักษ์ตำรับตำราภูมิปัญญาทางการแพทย์ และพัฒนาต่อยอดจนเป็นตำรับยา มีการให้ทุนวิจัย และขึ้นทะเบียนตำรายาทั้งหมดที่มีในประเทศไทย รวมทั้งสิ้นกว่า 2 หมื่นตำรับ
อย่างไรก็ตาม สมุนไพรจะเน้นเรื่องกินเพื่อบำรุง และรักษาโรคบางชนิด อย่างเรื่องโรคมะเร็งนั้น ปัจจุบันยังไม่มีตำรับยาสมุนไพรใดที่ขึ้นทะเบียนเป็นยารักษามะเร็งโดยเฉพาะ แต่กรมฯ ร่วมกับเครือข่าย ศึกษาวิจัยสมุนไพรที่มีแนวโน้มพัฒนาเป็นสูตรยับยั้งมะเร็งได้ 3 ชนิด คือ
-
- สูตร N040 เป็นตำรายาจากภาคเหนือ ช่วยยับยั้งเซลล์มะเร็งปากมดลูก ซึ่งระยะแรกเป็นการหาสารสำคัญในสมุนไพร อาทิ เถามวกขาว หญ้าขัด ตับเต่าใหญ่ ถั่วพู ราชพฤกษ์ เป็นต้น พบว่ายับยั้งเซลล์มะเร็งปากมดลูกได้ จากนั้นจึงนำไปทดลองในสัตว์ ก็พบว่าได้ผลดีและปลอดภัย ขณะนี้อยู่ระหว่างการทดลองในมนุษย์ เพื่อศึกษาระดับที่เหมาะสม
- เบญจอำมฤตย์ ยับยั้งมะเร็งตับ ประกอบด้วย มหาหิงคุ์ ยาดำบริสุทธิ์ รงทอง มะกรูด ขิงแห้ง ดีปลี พริกไทย รากทนดี และดีเกลือ ขณะนี้อยู่ระหว่งทดลองในมนุษย์ ซึ่งดูระดับความเป็นพิษระยะสั้นและระยะยาว
- สูตรวัดคำ อยู่ในขั้นการทดลองระดับเซลล์ว่ายับยั้งเซลล์มะเร็งเต้านมได้ดีแค่ไหน ซึ่งทำโดยมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กำลังจะเข้าสู่ขั้นทดลองในสัตว์และในคนต่อไป
นอกจากนี้ นพ.เกียรติภูมิ ยังย้ำด้วยว่า ขณะนี้ยังไม่มีการขึ้นทะเบียนสมุนไพรที่รักษามะเร็งได้ ดังนั้น จึงอยากให้รักษาแพทย์แผนปัจจุบัน หรือใช้แพทย์แผนไทยร่วมกัน แต่สิ่งสำคัญคือ ต้องปรึกษาแพทย์แผนปัจจุบัน และได้รับความยินยอมจากแพทย์แผนปัจจุบันก่อนดีกว่า เพราะคนไข้มีภูมิต้านทานต่ำ แต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน การได้สมุนไพรก็ต้องพิจารณาดีๆ บางอย่างอาจไม่เหมาะสมกับคนแต่ละคน ไม่อยากให้เสียโอกาสในการรักษาโรคมะเร็ง เพราะมะเร็งหลายชนิดรักษาได้เมื่อพบตั้งแต่แรกๆ
ข้อมูลอ้างอิง: medthai
อ่านข่าวอื่นได้ที่
เว็บไซต์: workpointnews.com
เฟซบุ๊ก: ข่าวเวิร์คพอยท์ ตลาดข่าว
ยูทูบ: workpoint news
ทวิตเตอร์: workpoint news
อินสตาแกรม: workpointnews