นักวิชาการ ชี้ ตรวจไม่พบควันดำรถเมล์ ไม่ได้หมายความว่าไม่มีฝุ่นพิษ PM 2.5

นักวิศวกรรมเครื่องกล แนะเก็บตัวอย่างควันรถเมล์เข้าตรวจในห้องปฏิบัติการ เพราะสีควันไม่สามารถบอกได้ว่ามีฝุ่น PM 2.5 หรือไม่

ปัญหาฝุ่นละอองขาดเล็ก PM 2.5 ปกคลุมพื้นที่กรุงเทพมหานครปริมณฑล ตลอดช่วงที่ผ่านมา ทำให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพยายามจะแก้ไขปัญหานี้จากแหล่งกำเนิด โดยล่าสุด เมื่อวันที่ 29 ม.ค. 62 กองบังคับการตำรวจจราจร (บก.จร.) กรมการขนส่งทางบก และกรมควบคุมมลพิษ ได้ลงพื้นที่ตรวจอู่รถเมล์ ขสมก. เขตการเดินรถที่ 4 ย่านคลองเตย โดยสุ่มตรวจรถเมล์เก่า 141 คัน ด้วยเครื่องตรวจควันชนิดทึบแสง ผลปรากฎว่า ควันดำไม่เกินเกณฑ์มาตรฐาน 45% จึงไม่จำเป็นต้องส่งตรวจเพิ่มเติม

ด้าน ผศ.ดร.นักสิทธ์ นุ่มวงษ์ อาจารย์ภาควิชาวิศวกรรมเครื่องกล คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวถึงกรณีนี้ว่า การตรวจไม่พบควันดำหรือพบแต่ควันสีขาว ไม่ได้หมายความว่ารถคันนั้นจะไม่ปล่อยมลพิษ หรือปล่อยฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 เนื่องจากอนุภาคของฝุ่น PM 2.5 มีขนาดเล็กมากไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า และกระดาษกรองของเครื่องตรวจก็ไม่สามารถบอกได้ ซึ่งวิธีที่จะทำให้รู้ว่าควันรถมีปริมาณ PM 2.5 สูงหรือไม่ ต้องเก็บตัวอย่างควันเข้าห้องปฏิบัติการเท่านั้น

“จริงๆ PM 2.5 แล้วไม่สามารถวัดได้จากกระดาษกรองในเครื่องตรวจความทึบแสง คือเราตรวจได้แต่เขม่าควันดำ และเราจะไม่ทราบเลยว่ามี PM 2.5 ในปริมาณเท่าไหร่ และหากต้องการวัด PM 2.5 ต้องวัดในห้องทดสอบหรือมีเครื่องเฉพาะ โดยการนำตัวอย่างไอเสียไปวิเคราะห์กับในอุปกรณ์เฉพาะ ถึงจะดูค่า PM 2.5 ได้” ผศ.ดร.นักสิทธ์ กล่าว

พร้อมอธิบายว่า ควันสีดำ เกิดจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงที่ไม่สมบูรณ์ ทำให้เกิดเป็นเขม่าเป็นสีดำ ส่วนควันสีขาว เกิดจากส่วนประกอบของน้ำมันที่มันเผาไหม้ไม่หมดออกมากับไอเสีย เป็นไฮโดรคาร์บอนเมื่อออกมาเจอกับอากาศจึงเกิดเป็นควันสีขาว และย้ำว่าควันที่เกิดจาท่อไอเสียรถทั้ง 2 แบบมีอันตรายต่อสุขภาพ

นอกจากนี้ ผศ.ดร.นักสิทธิ์ ยังเสนอ ภาครัฐควรเพิ่มเติมมาตรการตรวจมลพิษจากรถยนต์ด้วย เนื่องจากปัจจุบัน พบว่าจะมีเพียงการตรวจเฉพาะควันดำเท่านั้น โดยเฉพาะรถดีเซลที่ใช้งานมาแล้วหลายปีเครื่องยนต์อาจะเกิดปัญหาการเผาไหม้ไม่ดีพอ อาจต้องมีมาตรฐานคุมเข้ม หรืออาจจะต้องลงทุนจัดหาเครื่องมือตรวจสอบที่สามารถตรวจสอบค่ามลพิษที่ออกมาจากท่อได้เสียได้