เช็กท่าทีฝ่ายหนุน-ฝ่ายต้าน “นายกคนนอก และผมเป็นนักการเมืองที่เคยเป็นทหาร”

จากวลีเด็ด.. “ผมเป็นนักการเมืองที่เคยเป็นทหาร” สู่ “การผลักดันเป็นนายกฯ คนนอกของพรรคประชาชนปฏิรูป” สนับสนุนหรือเห็นต่าง

เปิดตัวอย่างเป็นทางการแล้ว สำหรับพรรคประชาชนปฏิรูป ของ คุณไพบูลย์ นิติตะวัน อดีต สปช. ที่แนวทางชัดเจนว่า สมาชิกส่วนใหญ่จะไม่มีนักการเมืองที่ถูกตัดสิทธิ ไม่มีใครที่เคยถูกร้องเรียน และถูกดำเนินคดีความผิดต่างๆ และที่ชัดเจนมานานแล้ว คือ การผลักดัน พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรีคนนอก หรือ ตามที่คุณไพบูลย์บอกคือ นายกฯ คนกลาง อันนี้สมชื่อ “คลีน แอนด์ เคลียร์” รักบิ๊กตู่ ดันบิ๊กตู่ ตั้งแต่แรก

พอถูกถามว่า คุณไพบูลย์จะดำรงตำแหน่งอะไรในพรรค และมีคุณสุเทพ เทือกสุบรรณร่วมวงศ์ไพบูลย์หรือไม่ กลับตอบว่า มันยังไม่ใช่เวลาตอนนี้ ยังไม่ถึงขั้นตอนที่ต้องเลือกหัวหน้าพรรค ขั้นตอนจากนี้คือการจัดตั้งพรรค และสมาชิกพรรคร่วมลงเงินกัน เพื่อแสดงสัญลักษณ์ว่า เป็นพรรคที่มาจากเงินทุนของทุกคนไม่มีนายทุนหนุนหลัง โดยเตรียมยื่นวันที่ 1 มีนาคม นี้

หากมาดูที่ไทม์ไลน์การเมืองไทย การแถลงข่าวตั้งพรรคอย่างเป็นทางการแบบนี้ (แม้จะชัดเจนและย้ำชัดๆ มานานแล้วก็ตาม ) เกิดขึ้นเพียงไม่กี่สัปดาห์ หลังจากที่นายกรัฐมนตรีทำฮือฮา คนโลกโซเชียลแชร์ และโพสเต็มหน้าฟีด และปรากฎเป็นพาดหัวใหญ่จากหน้าหนังสือพิมพ์ทุกฉบับ “ผมเป็นนักการเมือง ที่เคยเป็นทหาร” หรือ การไม่ปิดทางตัวเองเป็นนายกฯ คนนอก จนมีเสียงลืออื้ออึงว่า วลีเด็ดนี้ คือการปูทางเพื่อเป็นนักการเมืองหรือไม่ !?

หากเช็กกระแส ท่าทีของฝ่ายต่างๆ ถึงวลี และ การตั้งพรรคหนุน เริ่มจากพี่ใหญ่แห่ง คสช. บิ๊กป้อม พล.อ ประวิตร วงศ์สุวรรณ รองนายรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ตอบว่า ขอให้ไปสอบถามนายกฯ เอง เพราะเมื่อมีกระแสข่าวเรื่องนี้ก็ไม่เคยคุยกับนายกฯ เลย พอถามจี้แบบอินไซด์ว่า เหตุใดนายกฯ ถึงออกมาระบุว่าตัวเองเป็นนักการเมือง บิ๊กป้อมกล่าวว่า ตนไม่ใช่นักการเมือง แค่มาทำงานการเมืองให้ ซึ่งไม่ได้เลือกตั้งมา และไม่คิดจะลงเลือกตั้งด้วย พร้อมยืนยันจะสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ เช่นเดิม

สอดคล้องกับ พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา อดีตรองนายกรัฐมนตรี และอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม จากพรรคเพื่อไทย กล่าวในงานทำบุญวันเกิดครบ 81 ปีว่า ตัวเองพร้อมสนับสนุนนายกฯ ประยุทธ์ โดยมองว่า เป็นคนดี และเคยทำงานร่วมกัน มีความซื่อสัตย์ จริงใจในการทำงานมาก และพูดถึงการจะตั้งพรรคทหารนั้น มองว่าไม่จำเป็น ถ้าใครจะเป็นนายกฯ คนต่อไปต้องมีเสียงสนับสนุน และมีกองหนุนตามที่ พล.อ.เปรม ติณสูรานนท์ ประธานองค์มนตรีและรัฐบุรุษ ได้กล่าวไว้ว่าต้องมีเสียงเท่าไร และประชาชนต้องสนับสนุนด้วย และ พล.อ. ยุทธศักดิ์ คิดว่าไม่จำเป็นต้องตั้งพรรคทหาร เพียงแต่อย่าปล่อยให้มีเสียงสนับสนุนตกไปอยู่อีกฝ่ายก็แล้วกัน

มีคนเห็นด้วย สนับสนุน ย่อมมีเห็นต่าง นายนพดล ปัทมะ จากเพื่อไทย มองว่า การเมืองควรเปิดกว้าง เสรีภาพและเป็นธรรมกับทุกพรรค และเปรียบเทียบเหมือนเล่นฟุตบอล ต้องแยกชัดเจนระหว่างกรรมการกับผู้เล่น ถ้ากรรมการจะมาเป็นผู้เล่นซะเองก็ไม่ควรออกกฎตัดสินเกม มิฉะนั้นก็ไม่เป็นธรรมกับผู้เล่นคนอื่น พร้อมทิ้งทายว่า การเมืองต้องแฟร์เพลย์ (การเล่นที่มีกติกายุติธรรม)

สอดคล้องกับทางประชาธิปัตย์ พรรคใหญ่เก่าแก่อีกพรรคหนึ่งที่ไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้เช่นกัน และมองว่า การที่คสช.ใช้อำนาจตามมาตรา 44 เพื่อขยายเวลาทำธุรการพรรค โดยเฉพาะพรรคเก่าแก่มีสมาชิกพรรคถึง 3 ล้านคนในเวลาที่จำกัดเพียง 30 วัน นั่นคือ 1-30 เมษายน ไม่สามารถทำได้ทัน มองว่า ไม่เป็นธรรมและไม่แฟร์เพลย์ด้วยเช่นกัน สุ่มเสี่ยงต่อการวิพากษ์วิจารณ์ว่า ต้องการรีเซ็ตพรรค จึงเตรียมยื่นร้องผู้ตรวจการแผ่นดินชี้ชาดคำสั่ง คสช. ว่าละเมิด และริดรอนสิทธิตามรัฐธรรมนูญ ตามกฏหมายลูกที่ออกมาก่อนหน้านี้

ทั้งหมดคือ แรงกระเพื่อมจากทุกฝ่ายที่ออกมาในช่วงนี้ สิ่งที่หลายฝ่ายอยากรู้คือ พรรคการเมืองสามารถขยับเคลื่อนไหว ประชุมพรรคได้เมื่อไหร่ ปีนี้จะมีการเลือกตั้งหรือไม่ นายกฯ ประยุทธ์จะลงเลือกตั้งหลังประกาศตัวเป็นนักการเมืองที่เคยเป็นทหารไหม และการเป็นนายกคนนอกตามที่คาดหวังจากพรรคประชาชนปฏิรูปจะได้รับการขานรับจากประชาชนมากน้อยแค่ไหน ยังเป็นซีรีย์เรื่องยาวที่มีหลายตอน