นายกฯ ยันไม่เคยให้ทำโพลเลิก พรก.ฉุกเฉินหรือไม่ แต่ระบุมีคนทำเองอยากให้คงไว้ถึง 88%

วันที่ 12 พ.ค. ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า วันนี้เป็นครั้งแรกที่เจอ ครม.แบบพร้อมหน้า โดยมาประชุมร่วมกันแบบเว้นระยะห่าง ทุกคนยังแข็งแรงกันอยู่ในการที่จะฟันฝ่าอุปสรรคของประเทศไปให้ได้ ด้วยความร่วมมือกันทั้ง ครม.และพรรคร่วมรัฐบาล ตลอดจนแรงสนับสนุนของภาคเอกชน ภาคธุรกิจ ประชาชน ไม่ว่าฝ่ายใดเสนออะไรก็รับฟังนำมาเป็นข้อพิจารณาเสมอมา

เรื่องการจะต่อ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ออกไปหรือยกเลิก เป็นการพิจารณาของศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด (ศบค.) โดยต้องคำนึงถึงมาตรฐานด้านสาธารณสุขเป็นหลัก ไม่ว่าจะมีโพลใครทำก็แล้วแต่ เท่าที่ทราบมีบางสื่อไปทำ มีผู้เห็นชอบให้ต่อไปอีก 88% ให้ยกเลิก 12% ย้ำว่าสื่อทำเอง ตนไม่เคยสั่งการให้ใครไปทำทั้งสิ้นอาจจะเป็นความเข้าใจผิด

ตนเคยระบุว่าจะให้ความสำคัญข้อมูลด้านสาธารณสุข ทั้งผู้ติดเชื้อลดลงน้อยลง แม้กระทั่งเหลือ 0% ก็ยังนอนใจไม่ได้ ต้องดูเรื่องความร่วมมือ ที่จะไม่ทำให้ตัวเลขผู้มีการติดเชื้อเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ถ้าอยู่ในเกณฑ์รับได้ก็พอจะเดินหน้าไปสู่การผ่อนคลายหรือปลดล็อกระยะที่ 2 ระยะที่ 3 ได้ เพราะเห็นใจประชาชนที่มีรายได้น้อย และกิจการที่มีความเกี่ยวข้องกับห่วงโซ่ การผลิต การแปรรูป การท่องเที่ยว ถ้าไม่ร่วมมือกันก็จะเดินไปไม่ถึงตรงนั้นได้ สิ่งที่เรามีศักยภาพ คือ การท่องเที่ยว การบริการ ก็จะมีปัญหา และส่งผลต่อรายได้ของประเทศ

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวด้วยว่า วันที่ 15 พ.ค. คณะกรรมการ ศบค.จะไปตรวจสถานประกอบการที่เตรียมจะปลดล็อกระยะที่ 2 ว่ามีแผนในการปฏิบัติตามมาตรการได้ครบถ้วนหรือไม่ หรือมีมาตรการอื่นๆ เพิ่มเติม เพื่อเป็นแบบอย่างสถานประกอบการอื่นๆ นำไปใช้อย่างเท่าเทียมกัน

“แต่อะไรที่เปิดได้ก็ปิดได้ ผมจำเป็นต้องพูดอย่างนี้ไม่อย่างนั้นทุกคนก็ลืมตัวไปเรื่อยๆ ไม่ร่วมมือ ไม่รักษาระยะห่าง ไม่ใส่หน้ากาก คือ ไม่ๆ ทั้งหมด เมื่ออยากได้ท่านก็ต้องร่วมมือกับผม กับศูนย์โควิดด้วยเพราะผมไม่ได้ทำงานคนเดียว ผมทำงานด้วยศูนย์ ด้วยคณะกรรมการทุกกระทรวง เป็นผลงานร่วมกันของรัฐบาลและพรรคร่วม แต่ยินดีรับฟังความคิดเห็นต่างๆ ในช่องทางที่เหมาะสม”

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวด้วยว่า หลังสถานการณ์โควิดผ่านพ้นไปแล้ว ต้องร่วมมือกันทุกภาคส่วน วันนี้อย่าเพิ่งเคลื่อนไหวให้เกิดความสับสนอลหม่านวุ่นวายอีกเลย ประชาชนต้องตัดสินใจว่าจะสนับสนุนอย่างไรในกรณีที่มีฝ่ายใดมาทำให้เกิดความวุ่นวายสับสน วันนี้เราต้องการความรักสามัคคีของคนไทยทุกคน เราจะต้องรอดไปด้วยกัน แบ่งปันน้ำใจให้กันและกัน นั่นคือ New Normal ใหม่ของประเทศไทย