นายพราน ลักลอบเผาป่าล่าสัตว์ ที่แม่แจ่ม เข้ามอบตัว หลังถูก จนท.กดดันอย่างหนัก

เจ้าหน้าที่ตำรวจสถานีตำรวจภูธรแม่แจ่ม เชียงใหม่ ร่วมกับปกครองและป่าไม้ ควบคุมตัวผู้ต้องหาลักลอบเผาป่า ในพื้นที่ อ.แม่แจ่ม

สืบเนื่องจากเมื่อวานนี้ (2 เม.ย.) เวลาประมาณ 16.00 น. นายเกรียงศักดิ์ เตชะเลิศพนา ผู้ใหญ่บ้านแม่แจ๊ะ ม.13 ต.แม่นาจร อ.แม่แจ่ม จ.เชียงใหม่ ได้พบไฟลุกไหม้ที่บริเวณป่าเหนือหมู่บ้าน จึงได้ระดมกำลังชาวบ้านประมาณ 20 คน ช่วยกันดับไฟป่า แล้วรายงานให้ นายบุญลือ ธรรมธรานุรักษ์ นายอำเภอแม่แจ่ม ทราบ

ต่อมานายอำเภอได้สั่งการให้ นายกิตติพงษ์ ธิวงศ์ ปลัดอำเภอแม่แจ่ม นำกำลังเข้าร่วมตรวจสาเหตุของการเกิดไฟไหม้ และตรวจสอบรถกระบะยี่ห้อโตโยต้า สีเขียว ทะเบียน ผข 5258 เชียงใหม่ ที่จอดบริเวณที่เกิดเหตุ ซึ่งพบว่าประตูปิดล็อก จึงสันนิษฐานว่า เป็นรถของผู้ที่เข้ามาหาของป่า หรือล่าสัตว์ และอาจจุดไฟเผาป่าเพื่อล่าสัตว์

ต่อมาผู้ใหญ่บ้านพร้อมกับชาวบ้าน ได้จัดกำลังซุ่มดูบริเวณใกล้ที่เกิดเหตุ เพื่อรอคณะเจ้าหน้าที่ จนกระทั่งเวลาประมาณ 22.00 น. ได้มีชายคนหนึ่งเดินออกมาจากป่า เพื่อไปที่รถกระบะ ผู้ใหญ่บ้านกับชาวบ้านจึงได้แสดงตัว โดยชายคนดังกล่าวยินยอมให้ตรวจค้น แต่ขณะที่กำลังจะควบคุมตัวไว้ ได้อาศัยความมืดและความชำนาญเส้นทางวิ่งหลบหนีไป

ต่อมาเจ้าหน้าที่ได้ร่วมกันตรวจสอบรถกระบะดังกล่าว พบว่าเป็นของ นายปัญญา จะหละ อายุ 58 ปี บ้านเลขที่ 90  หมู่ 4 ต.บ่อแก้ว อ.สะเมิง จ.เชียงใหม่ และเมื่อสำรวจบริเวณรอบๆ พบอาวุธปืนลูกซองยาว ขนาดเบอร์ 12 ไม่มีเลขทะเบียน 1 กระบอก , ลูกกระสุนปืนลูกซอง 17 นัด (อยู่ในย่าม) , วิทยุสื่อสาร และโทรศัพท์มือถือ ฯลฯ โดยเจ้าหน้าที่สันนิษฐานว่า นายปัญญาได้จุดไฟเผาป่าเพื่อให้สะดวกแก่การไล่ล่าสัตว์ป่า เป็นเหตุให้เกิดไฟไหม้ป่าเสียหายเป็นจำนวนหลายไร่

ต่อมาวันที่ 3 เม.ย. 62 นายปัญญาได้เดินทางมามอบตัวกับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ พร้อมรับสารภาพว่าเป็นเจ้าของรถกระบะ , อาวุธปืน เครื่องกระสุน และของที่เจ้าหน้าที่ตรวจยึดได้ทั้งหมด

ทางเจ้าหน้าที่จึงตั้งข้อหา เผาป่า หรือกระทำด้วยประการใดๆ อันเป็นการทำลายป่า หรือทำให้เสื่อมเสียแก่สภาพป่าสงวนแห่งชาติโดยไม่ได้รับอนุญาต , มีอาวุธปืน และเครื่องกระสุนปืนไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต , พกพาอาวุธปืนไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะ โดยไม่ได้รับอนุญาต หรือโดยเปิดเผย หรือโดยไม่มีเหตุสมควร , มีและพกพาวิทยุสื่อสารโดยไม่ได้รับอนุญาต ก่อนนำตัวไปดำเนินคดีการตามกฎหมาย