SHARE

คัดลอกแล้ว

 

ยุทธศาสตร์ชาติถือเป็นอีกกลไกหนึ่งที่ถูกบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ 60 โดยได้ระบุไว้ว่าการกำหนดนโยบายต่างๆ และการจัดทำงบประมาณประจำปีต่อไปจะต้องสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ อีกทั้งยังได้มีการระบุโทษไว้ด้วยว่า ข้าราชการที่ไม่ปฏิบัติตามยุทธศาสตร์ชาติอาจถึงขั้นโดนไล่ออกจากราชการ ส่วนรัฐมนตรีที่กำหนดนโยบายไม่สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ อาจโดนโทษจำคุกสูงสุดถึง 10 ปี

ในรัฐธรรมนูญฉบับปี 2560 มาตรา 142 ได้กำหนดไว้ว่า “ในการเสนอร่าง พ.ร.บ. งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณต้องแสดงแหล่งที่มาและประมาณการรายได้ … และความสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ” นอกจากนี้ ใน พ.ร.บ. การจัดทำยุทธศาสตร์ชาติ พ.ศ. 2560 ได้กำหนดไว้ในมาตรา 5 ว่า “การกำหนดนโยบายการบริหารราชการแผ่นดินของคณะรัฐมนตรี … รวมตลอดทั้งการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณต้องสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ”

ฉะนั้นแล้ว ด้วยกลไกของรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน และด้วยอำนาจของ พ.ร.บ. การจัดทำยุทธศาสตร์ชาติ ได้กำหนดไว้ชัดเจนว่าการบริหารราชการแผ่นดินต่อจากนี้ไป จะต้องสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติทั้งหมด อีกทั้งยังได้ระบุถึงบทลงโทษจากการไม่ปฏิบัติตามยุทธศาสตร์ชาติเอาไว้ด้วย

โดยในมาตรา 25 ของ พ.ร.บ.การจัดทำยุทธศาสตร์ชาติระบุไว้ว่า ถ้าหน่วยงานของรัฐไม่ดำเนินการตามยุทธศาสตร์ชาติ ทางสภาผู้แทนราษฎรหรือวุฒิสภาจะพิจารณาว่าหน่วยงานของรัฐดังกล่าวจงใจไม่ทำตามยุทธศาสตร์ชาติหรือไม่ หากมีมติเห็นว่าจงใจก็จะส่งเรื่องดังกล่าวต่อให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และถ้า ป.ป.ช. เห็นว่าข้อกล่าวหาดังกล่าวมีมูล “ให้ผู้บังคับบัญชาของผู้ถูกกล่าวหานั้นสั่งให้ผู้นั้นพักราชการหรือพักงาน หรือสั่งให้ออกจากราชการหรือออกจากงานไว้ก่อน หรือสั่งให้พ้นจากตำแหน่งต่อไป”

พูดง่ายๆ ก็คือ ข้าราชการที่ทำงานอยู่ในหน่วยงานของรัฐ หากไม่ดำเนินนโยบายตามแนวทางที่กำหนดไว้ในยุทธศาสตร์ชาติ ก็อาจโดนลงโทษสูงสุดให้ออกจากราชการได้

ในส่วนของรัฐมนตรี ซึ่งถือเป็นข้าราชการการเมือง บทเฉพาะกาลในมาตรา 29 ของ พ.ร.บ.การจัดทำยุทธศาสตร์ชาติ พ.ศ.2560 ได้กำหนดไว้ว่า ในช่วง 5 ปีแรกหลังการเลือกตั้งซึ่ง ส.ว. ชุดแรกยังคงทำหน้าที่อยู่ หากเกิดกรณีที่การดำเนินการของหน่วยงานของรัฐไม่สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ โดย “เป็นผลจากมติคณะรัฐมนตรี หรือเป็นการดำเนินการของคณะรัฐมนตรีโดยตรง” วุฒิสภาสามารถพิจารณาว่าการดำเนินการของคณะรัฐมนตรีดังกล่าวนั้น ถือเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ และสามารถส่งต่อให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความได้

ถ้าศาลรัฐธรรมนูญตีความว่ามติหรือการกระทำของคณะรัฐมนตรีเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย (การไม่ดำเนินนโยบายตามกรอบยุทธศาสตร์ชาติถือเป็นการกระทำที่ผิดรัฐธรรมนูญปี 60) เรื่องดังกล่าวจะถูกส่งต่อไปยังคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ให้ดำเนินการตามหน้าที่และอำนาจต่อไป

โดยตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 ได้กำหนดอำนาจหน้าที่ของ ป.ป.ช. ไว้ว่า เมื่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. เห็นว่าผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง “จงใจปฏิบัติหน้าที่หรือใช้อำนาจขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย” ให้ ป.ป.ช. ส่งเรื่องให้อัยการสูงสุดฟ้องคดีต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองต่อไป

และในมาตรา 81 ได้ระบุไว้ว่า ถ้าศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองตัดสินว่าผิด “ให้เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของผู้นั้น” โดยที่คนที่โดนเพิกถอนสิทธิดังกล่าว “ไม่มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง หรือสมัครรับเลือกเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฏร สมาชิกวุฒิสภา สมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นตลอดไป” (ขอให้สังเกตคำว่า ‘ตลอดไป’) และไม่มีสิทธิดำรงตำแหน่งทางการเมืองใดๆ อีกเลย

นอกจากนี้ยังอาจโดนโทษจำคุกด้วย เนื่องจากในมาตรา 172 ของ พ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ได้ระบุไว้ว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต “ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 1 ปีถึง 10 ปี”

นั่นหมายความว่าคนที่เป็นรัฐมนตรีในรัฐบาลชุดหน้า หากถูกศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ตัดสินว่าทำผิดกฎหมายเนื่องจากไม่ดำเนินนโยบายตามยุทธศาสตร์ชาติ ก็ต้องเลิกเป็นนักการเมืองเลยตลอดชีวิต เนื่องจากไม่สามารถลงสมัครรับเลือกตั้งใดๆ ได้อีก อีกทั้งยังเสี่ยงโดนโทษจำคุกสูงสุดถึง 10 ปีด้วย

พูดง่ายๆ ก็คือ รัฐมนตรีในรัฐบาลชุดถัดไปอาจโดนลงโทษหนัก หากไม่ดำเนินนโยบายตามกรอบที่ยุทธศาสตร์ชาติวางไว้ โดยอาจโดนลงโทษจำคุกสูงสุดถึง 10 ปี และอาจโดนถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งในทุกระดับตลอดชีวิต รวมถึงจะไม่มีสิทธิดำรงตำแหน่งทางการเมืองใดๆ อีก

podcast

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้ และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณเพื่อเราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมกับความสนใจของคุณ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมเราจะไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาและโฆษณาได้ไม่ตรงกับความสนใจของคุณ
    รายละเอียดคุกกี้

บันทึกการตั้งค่า