บริษัทรถยนต์ญี่ปุ่นร่วมมือสร้างสถานีชาร์จไฮโดรเจน ตั้งเป้า 160 แห่งในปี 2020

“โตโยต้า – นิสสัน – ฮอนด้า” ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ของญี่ปุ่นร่วมมือสร้างสถานีไฮโดรเจนสำหรับเชื่อเพลิงรถยนต์ ชี้ตอนนี้การร่วมมือสำคัญกว่าการแข่งขัน รัฐบาลตั้งเป้าจะมีสถานีบริการรวม 160 แห่งทั่วญี่ปุ่นภายในปี 2020

บริษัท โตโยต้า นิสสัน และฮอนด้า ร่วมทุนกับบริษัทก๊าซและพลังงานรายใหญ่หลายบริษัท รวมถึงบริษัทก๊าซรายใหญ่อย่าง Air Liquid ของฝรั่งเศส เพื่อสร้างสถานีชาร์จไฮโดรเจนอีก 80 แห่งทั่วญี่ปุ่นภายใน 4 ปีข้างหน้า (ปี 2022) เพิ่มขึ้นจากเดิมที่ตอนนี้ที่มีอยู่ 101 แห่ง

โดยรัฐบาลญี่ปุ่นและอุตสาหกรรมรถยนต์ตั้งเป้าหมายเพิ่มสถานีชาร์จไฮโดรเจนเป็น 160 แห่ง และปริมาณรถยนต์ไฮโดรเจน 40,000 คัน ในเดือนมีนาคม ปี 2020

ชิเกะกิ เทราชิ รองประธานฝ่ายบริหารของโตโยต้า กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า ในตอนนี้พวกเราเชื่อว่าการร่วมมือกันสำคัญกว่าการแข่งขัน โดยการร่วมกันภายใต้ชื่อ “Japan H2 Mobility” หรือ “JHyM” จะกระตุ้นให้ออกกฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อมที่เข้มงวดขึ้น ทำให้เกิดรถยนต์พลังงานสะอาดมากขึ้น ทั้งรถยนต์เซลล์เชื้อเพลิง (fuel cell vehicle) หรือ รถยนต์ไฮโดรเจน (Hydrogen fuel cell vehicle)

ตอนนี้ญี่ปุ่นให้ความสนใจการส่งเสริมเกี่ยวกับพลังงานเซลล์เชื้อเพลิง หรือก็คือการรวมไฮโดรเจนและออกซิเจนเข้าด้วยกันในปฏิกิริยาไฟฟ้าเคมี ทำให้เกิดกระแสไฟฟ้าที่สะอาดเพื่อขับเคลื่อนยานพาหนะ หรือเครื่องกำเนิดไฟฟ้าภายในบ้าน

อย่างไรก็ตาม การสร้างสถานีชาร์จไฮเดรเจน และรถยนต์ไฮโดรเจน จะต้องได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาล เพื่อลดต้นทุนและมีราคาที่ถูกลง ด้าน ฮิเดกิ สุกาวารุ ประธานของ JHyM กล่าวว่า หากในกรณีที่ผู้ผลิตรถยนต์จะร่วมมือกัน สถานีชาร์จไฮโดรเจนแห่งใหม่จะมีแนวโน้มเกิดมากขึ้นในเขตเมือง และเพื่อที่จะทำให้ประชาชนมีความต้องการรถยนต์ไฮโดรเจน เราก็ต้องขยายสถานีบริการเพิ่มขึ้นด้วย

ตามข้อมูลระบุว่า ปริมาณสถานีชาร์จไฮโดรเจนที่ไม่สามารถรองรับรถยนต์ไฮโดรเจรได้เพียงพอนั้นยังคงเป็นปัญหาหลักสำหรับผู้ผลิตรถยนต์ โดยสถานีชาร์จไฮโดรเจน 101 แห่ง สามารถรองรับได้เพียง 2,400 คันในญี่ปุ่น

ด้านโตโยต้า เปิดตัว โตโยตา มิไร (Toyota Mirai) ซึ่งเป็นรถยนต์พลังงานเชื้อเพลิงไฮโดรเจนคันแรกของโลกออกสู่ตลาดเมื่อปี 2014 และมุ่งผลักดันให้รถยนต์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เช่นเดียวกับนิสสันและฮอนด้ากำลังจะมีโครงการเกี่ยวกับรถยนต์พลังงานเชื้อเพลิงสะอาด

ที่มา AFP