เรือนจำกลางนครพนม จัดกิจกรรมนำร่อง ประกาศเป็นเรือนจำสีขาว เขตปลอดบุหรี่
เมื่อวันที่ 8 ธ.ค. 61 ที่เรือนจำกลางนครพนม นายรังสรรค์ คำภิรานนท์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม พร้อมด้วย นายจรูญ เหง่าลา ผู้บัญชาการเรือนจำกลางนครพนม นายแพทย์จิณณพิภัทร ชูปัญญา นายแพทย์สาธรณสุขจังหวัดนครพนม นำเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานเกี่ยวข้อง ร่วมกับผู้ต้องขังในเรือนจำกลางนครพนม กว่า 1,500 คน ร่วมเปิดกิจกรรมนำร่อง ประกาศเป็นเรือนจำสีขาว ปลอดบุหรี่
ภายใต้ความร่วมมือของสำนักงานสาธารณสุข จ.นครพนม และสำนักงานป้องกันและควบคุมโรคที่ 8 จ.อุบลราชธานี เพื่อป้องกันผลกระทบต่อสุขภาพจากพิษภัยของผลิตภัณฑ์ยาสูบ สอดคล้องกับมาตรการปลอดบุหรี่ในเรือนจำ ตามพระราชบัญญัติยาสูบ พ.ศ.2560 และพระราชบัญญัติคุมครองผู้ไม่สูบบุหรี่
เนื่องจากพบว่าปัจจุบันผู้ต้องขังในเรือนจำ มีอัตราการสูบบุหรี่สูงกว่าประชาชนทั่วไป ก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพ รวมถึงผู้ต้องขังที่ไม่สูบบุหรี่ กรมราชทัณฑ์จึงมีนโยบายให้เรือนจำทั่วประเทศ เป็นเรือนจำสีขาวปลอดบุหรี่
สำหรับกิจกรรมครั้งนี้ เป็นการแสดงพลังของผู้ต้องขังกว่า 1,500 คน ร่วมกันออกกำลังกายเพื่อสุขภาพ เต้นประกอบเพลง การแสดงกิจกรรมนันทนาการ เพื่อสร้างจิตสำนึกให้ สนใจออกกำลังกายเพื่อสุขภาพ
นอกจากนี้ยังได้มีการแปรอักษรเป็นรูปหัวใจสีชมพู แสดงออกถึงความรัก รวมถึงเป็นการน้อมใจทำความดี ถวายในหลวง ภายหลังได้มีการร่วมกันเผาทำลายบุหรี่ เป็นการประกาศเลิกบุหรี่ของผู้ต้องขังภายในเรือนจำ ตามนโยบายเรือนจำสีขาว และเป็นการเชิญชวนประชาสัมพันธ์ให้ประชาชน หันมาใส่ใจสุขภาพ ลดละเลิกบุหรี่
นายจรูญ เหง่าลา ผู้บัญชาการเรือนจำกลางนครพนม เปิดเผยว่า สำหรับโครงการเรือนจำสีขาว ปลอดบุหรี่ ถือเป็นอีกกิจกรรมสำคัญของเรือนจำกลางนครนพนม เป็นการนำร่องในการประกาศเลิกสูบบุหรี่ของผู้ต้องขัง ภายใต้ความร่วมมือของสำนักงานสาธารณสุข จ.นครพนม และสำนักงานป้องกันและควบคุมโรคที่ 8 จ.อุบลราชธานี
เพื่อให้ผู้ต้องขังลดเลิกอบายมุข ยาเสพติด ทุกชนิด สร้างสุขภาพ และห้ามให้มีการนำบุหรี่เข้ามาในเรือนจำ
ซึ่งปัจจุบันยอมรับว่า ผู้ต้องขังในเรือนจำกลางนครพนม มีจำนวนมากขึ้นต่อเนื่อง และเกินจำนวนมาตรฐานการดูแล จากมาตรฐานประมาณ 2,000 คน ปัจจุบันมีผู้ต้องขังมากถึง 4,436 คน แยกเป็นชาย 3,662 คน หญิง 774 คน
แต่ที่น่าห่วงคือ มีผู้ต้องขังในคดียาเสพติดกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ และมีแนวโน้มต่อเนื่อง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่จะได้นำข้อมูลไปเสนอต่อหน่วยงานความมั่นคง ในการวางแนวทางมาตรการแก้ไข ปัญหาการระบาดของยาเสพติดในสังคม ลดปริมาณคดียาเสพติดให้ได้มากที่สุด
ส่วนเรื่องการดูแล ยังยืนยันว่า ยังสามารถดูแลได้ ไม่ได้รับผลกระทบ ซึ่งหากมีปัญหาแออัดมากขึ้น จะมีการกระจายไปยังเรือนจำที่รองรับได้