ประชาธิปัตย์-อนาคตใหม่-เพื่อชาติ หวั่นเลือกตั้งไม่ยุติธรรมนำประเทศวิกฤติ

พูดคนละวงแต่เห็นตรงกัน หลายฝ่ายกังวลหากเลือกตั้งไม่เรียบร้อยไม่ยุติธรรม มีการใช้อำนาจรัฐแทรกแซง อาจนำไปสู่ความวุ่นวายซ้ำรอยพฤษภาทมิฬ

วันที่ 14 ธ.ค. นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวในเวทีการอภิปรายเรื่อง ”การเมือง เศรษฐกิจ หลังเลือกตั้ง 62” ตอนหนึ่งว่า การเลือกตั้งปี 2562 ยังถือไม่ได้ว่าเป็นการเปลี่ยนผ่านประเทศสู่ประชาธิปไตย แต่เป็นแค่การเปลี่ยนผ่านจากสถานการณ์การยึดอำนาจด้วยกำลังไปสู่การยึดอำนาจด้วยรัฐธรรมนูญที่ออกแบบมาเพื่อการนี้โดยเฉพาะหรือที่เรียกกันว่า “การสืบทอดอำนาจ” มากกว่า

การเลือกตั้ง 2562 จะเป็นการเลือกตั้งภายใต้ประชาธิปไตยแค่ครึ่งใบ เพราะผู้มีอำนาจสูงสุดที่จะควบคุมการเลือกตั้งยังเป็น คสช. ไม่ใช่ กกต. และมาตรา 44 ก็ยังอยู่ตลอดการเลือกตั้ง ส.ส. การเลือกประธานสภา การเลือกนายกรัฐมนตรี ไปถึงการตั้งคณะรัฐมนตรี จะพ้นต่อเมื่อรัฐบาลใหม่เข้าถวายสัตย์ปฏิญาณเท่านั้น

สภาวการณ์เช่นนี้ยังจะอยู่ต่อไปอย่างน้อย 8 ปี หรือ 2 รัฐบาลเป็นอย่างน้อย เพราะบทเฉพาะกาลของรัฐธรรมนูญบังคับไว้ไปจนถึงการเลือกตั้งครั้งถัดไปหลังจาก 4 ปีของสภาชุดปี 2562 อีกด้วย นอกจากจะมีการแก้รัฐธรรมนูญเกิดขึ้น ซึ่งก็เป็นไปได้ยาก เพราะกำหนดเงื่อนไขให้แก้ยากยิ่ง นอกจากใช้เสียงเกินกึ่งหนึ่งของรัฐสภาแล้ว ยังต้องเห็นฟ้องต้องกันระหว่าง ส.ส รัฐบาล ฝ่ายค้าน และวุฒิสภา อีกทั้งยังต้องทำประชามติอีกด้วย

นายจุรินทร์ กล่าวด้วยว่า หลังเลือกตั้งจะเป็นจุดเริ่มต้นการสร้างประเทศหรือจุดเริ่มต้นความขัดแย้ง ขึ้นอยู่กับว่าการเลือกตั้งบริสุทธิ์ ยุติธรรม เป็นที่ยอมรับได้ของทุกฝ่ายหรือไม่ แต่ถ้ามีการบังคับเลือกข้าง ข้างแพ้ไม่ยอมรับ หรือการเลือกตั้งไม่ยุติธรรม มีการโกงเลือกตั้ง ใช้อำนาจรัฐเอื้อบางพรรคการเมืองสู่การสืบทอดอำนาจอาจนำไปสู่การปะทุความขัดแย้งถึงขั้นเกิด ”พฤษภาทมิฬ ภาค2” ได้

ขณะที่นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ กล่าวในเวทีเดียวกันว่า การเลือกตั้งที่จะมาถึงนี้ มีแนวโน้มอย่างสูงว่าจะมีการโกงเยอะที่สุด ซึ่งเริ่มเกิดขึ้นมาสักระยะหนึ่งแล้ว ตั้งแต่การกำหนดกติกาไปจนถึงการดูด ส.ส.หัวคะแนน รวมถึงการใช้ภาษีของประชาชนในการสนับสนุนพรรคการเมืองบางพรรคอย่างโจ่งแจ้ง

นายธนาธร ยังระบุอีกว่า เหตุการณ์ลักษณะนี้เคยเกิดขึ้นมาก่อนแล้ว เหมือนกันกับในปี 2535 ซึ่งลงเอยด้วยการสืบทอดอำนาจของกองทัพและความขัดแย้งที่มากขึ้น สำหรับการเลือกตั้งที่จะมาถึง สิ่งที่จะเกิดขึ้นก็คือกึ่งประชาธิปไตย ซึ่งอภิสิทธิ์ชน คือกลุ่มทุนผูกขาด กลุ่มข้าราชการชั้นสูง และกลุ่มกองทัพ จะได้ประโยชน์จากโครงสร้างที่เป็นอยู่ แต่ก็ยังมีความเป็นไปได้ที่การเลือกตั้งครั้งนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นในการนำไปสู่การยุติการรัฐประหารตลอดกาล หากประชาชนรวมพลังกันเลือกพรรคที่อยู่ตรงข้ามกับเผด็จการ

ที่พรรคเพื่อชาติ  นายอดุลย์ เขียวบริบูรณ์ ประธานคณะกรรมการญาติวีรชนพฤษภา 35 กล่าวระหว่างเดินทางมาหารือกับแกนนำพรรคว่า รู้สึกเจ็บใจกับคำพูดของหัวหน้า คสช. ว่าจะเข้ามากำจัดความรุนแรงเพื่อให้คนในชาติมีความสามัคคีปรองดอง แต่การกระทำที่เห็นในช่วง 5 ปีที่ผ่านนั้นล้มเหลว มีเจตนาสืบทอดอำนาจ ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่สามารถรับได้ มีการใช้มาตรา 44 เกินขอบเขต ด้านเศรษฐกิจเอื้อนายทุนนำไปสู่ความเหลื่อมล้ำ

ขณะที่นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) และกองเชียร์พรรคเพื่อชาติ กล่าวว่า ผ่านมา 26 ปีจากเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ 2535 ยังคงเจอเรื่องเดิม ที่ต่างเพียงแค่ตัวบุคคล แต่เรื่องเศรษฐกิจ ปี 2535 ประชาชนยังไม่เดือดร้อนเท่ายุคนี้

“พ.ศ. นั้นเป็นความจัดแย้งเรื่องประชาธิปไตย ไม่ใช่ปัญหาปากท้อง ดังนั้นสิ่งที่พยายามเสนอแนวทาง จากประวัติศาสตร์ประเทศตายก่อนแก้ แต่ครั้งนี้ขอแก้ก่อนตาย โดยพร้อมคุยทุกฝ่ายเพื่อหาทางออก ถ้าทุกฝ่ายไม่ร่วมมือกันประเทศคงไปไม่รอดแม้ว่าการเลือกตั้งเกิดขึ้น การพูดคุยกันเป็นสัญญาประชาคมจึงสำคัญ”

นายจุตพร ยังเสนอให้ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา แสดงสปิริตออกจากการเป็นนายกรัฐมนตรีรวมทั้งหัวหน้าคสช.และลงสมัครรับเลือกตั้งอยู่ในบัญชีผู้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี จะเป็นการแข่งที่สะอาด สง่างาม เพื่อให้เกิดความยุติธรรม