ครม. มีมติคืนเงินภาษีมูลค่าเพิ่มให้ผู้มีรายได้น้อยผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เริ่ม 1 พ.ย.-30 เม.ย.62 โดยกรมบัญชีกลางจะดำเนินการจ่ายเงินชดเชยผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ
วันที่ 19 ก.ย. 2561 วานนี้ พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรีว่า ที่ประชุม ครม.เห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอมาตรการชดเชยเงินให้แก่ผู้มีรายได้น้อยผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ โดยใช้ข้อมูลจากจำนวนภาษีมูลค่าเพิ่มที่ผู้มีรายได้น้อยได้ชำระจากราคาสินค้าอุปโภคและบริโภค โดยไม่รวมสินค้าและบริการที่มีภาษีสรรพสามิต สำหรับการชำระราคาสินค้าและบริการจากร้านธงฟ้า ประชารัฐหรือร้านค้าเอกชนอื่นที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม ผ่านเครื่อง EDC ที่มีการเชื่อมต่อระบบ POS โดยร้านค้าดังกล่าวต้องส่งข้อมูลให้แก่กรมบัญชีกลางผ่านระบบที่ บมจ. ธนาคารกรุงไทย พัฒนารองรับการทำงานนี้ แต่ข้อมูลจำนวนภาษีมูลค่าเพิ่มที่ผู้มีรายได้น้อยได้ชำระผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ซึ่งจะได้รับเงินชดเชยจะต้องเป็นข้อมูลตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย.61 – 30 เม.ย. 2562 รวมระยะ 6 เดือน
มาตรการชดเชยรายได้กับผู้ถือบัตรคนจน มีการแบ่งภาษีมูลค่าเพิ่ม ที่ปกติรัฐบาลเก็บในอัตรา 7% ออกเป็น 3 ส่วน คือ
ส่วนที่ 1 จำนวน 1% ผู้ถือบัตรคนจนต้องจ่ายภาษี
ส่วนที่ 2 จำนวน 5% จะคืนให้กับผู้ถือบัตรคนจนเพื่อการใช้จ่าย โดยกรมบัญชีกลางจะโอนเข้ากระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ (อี-มันนี่) ในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐของผู้มีรายได้น้อยหรือผู้ถือบัตรคนจน ใน ส่วนนี้จะถูกโอนให้เลยวันที่ 15 ของทุกเดือน และสามารถกดออกมาใช้เป็นเงินสดได้
ส่วนที่ 3 จำนวน 1% จะเก็บไว้เพื่อการออมของผู้ถือบัตรคนจน หรือหากไม่มีบัญชีการออมอาจจะเปิดบัญชีเพื่อสะสมไว้ โดยให้ผลตอบแทนที่คุ้มค่า
สำหรับเงินชดเชยที่ผู้มีรายได้น้อยจะได้รับทั้ง 2 ส่วน คือส่วน 5% เพื่อการใช้จ่าย และ 1% เพื่อการออมต้องไม่เกินจำนวน 500 บาทต่อคนต่อเดือน โดยใช้จ่ายจากเงินกองทุนประชารัฐเพื่อเศรษฐกิจฐานรากและสังคม ทั้งสิ้น จำนวน 5,000 ล้านบาท
นอกจากนี้ ครม.ได้อนุมัติค่าใช้จ่ายในการติดตั้งระบบ POS สำหรับร้านธงฟ้าประชารัฐกลุ่มเป้าหมาย โดยจัดสรรเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน 90 ล้านบาท และมอบหมายให้สำนักงบประมาณเร่งรัดการพิจารณารายละเอียดค่าใช้จ่ายดังกล่าว เพื่อให้กรมบัญชีกลางสามารถดำเนินการจ้าง บมจ. ธนาคารกรุงไทย ได้ทันวันที่ 1 ต.ค.61 ทั้งนี้ เพื่อเป็นการช่วยผู้ที่มีรายได้น้อยกว่าหนึ่งแสนบาทต่อปี และผู้ที่มีรายได้น้อยมาก คือต่ำกว่าสามหมื่นบาทต่อปี