สะเทือนขวัญญี่ปุ่น ! มือฆ่าหั่น 9 ศพ สารภาพ ข่มขืนเหยือผู้หญิงทั้งหมดก่อนฆ่าทิ้ง

ตำรวจญี่ปุ่นสอบสวนมือฆ่าหั่นศพ 9 ศพ พบฆ่าเหยือทั้งหมดภายใน 2 เดือน และข่มขืนเหยื่อทั้งหมดที่เป็นผู้หญิงก่อนลงมือฆ่า โดยตำรวจทำการสืบสวนโดยใช้แผนล่อลวงคนร้ายผ่านทวิตเตอร์

วันที่ 1 พฤศจิกายน 2560 สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจทำการสอบสวนนายทากาฮิโระ ชิราอิชิ ผู้ต้องหาฆาตกรรมสะเทือนขวัญ 9 ศพในห้องตัวเอง ย่านอำเภอซามะ จังหวัดคานากะวะ ใกล้กับกรุงโตเกียวเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา

จากการสอบสวนพบว่านายชิราอิชิได้สารภาพว่า ได้ทำการฆ่าเหยื่อทั้งหมดภายใน 2 เดือน รวม 9 คน เป็นหญิง 8 คน 4 คนในจำนวนนี้เป็นวัยรุ่น และอีก 4 คนมีอายุอยู่ในช่วง 20 – 30 ปี ซึ่งได้ทำการข่มขืนเหยือที่เป็นผู้หญิงทั้งหมดก่อนฆ่า ส่วนที่ต้องฆ่าเหยื่อผู้ชายอีก 1 คนนั้น เพื่อปิดปาก เนื่องจากมาที่บ้านเพื่อตามมาคนรัก ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้เสียชีวิต

ในที่เกิดเหตุพบโครงกระดูกที่เป็นของเหยื่อ 9 ศพ กว่า 240 ชิ้นรวมทั้งหัวกระโหลกและแขน อยู่ในกล่องเก็บความเย็นและกล่องเครื่องมือ มีบางส่วนนำไปทิ้งขยะโดยใช้ทรายสำหรับแมวเพื่อกลบกลิ่น

การสืบสวนเริ่มต้นจากหญิงสาววัย 23 ปีรายหนึ่งจากเขตฮาชิโอจิหายตัวไป พี่ชายจึงแจ้งตำรวจและพายามแฮ็กทวิตเตอร์ของน้องสาว เพื่อสังเกตบุคคลต้องสงสัย และโพสต์ข้อความเกี่ยวกับการหายตัวไปของน้องสาว

ต่อมามีหญิงหนึ่งบอกเขาว่าเธอรู้จักกับคนร้าย เขาจึงได้ร่วมกันกับตำรวจวางแผนหลอกล่อนายชิราอิชิ โดยให้หญิงคนดังกล่าวติดต่อไปเพื่อนัดพบที่สถานีรถไฟ ซึ่งตำรวจได้รอทำการจับกุมไว้แล้ว

พอตำรวจบุกเข้าไปที่ห้องของเขาอย่างรวดเร็ว จึงได้พบกับกระเป๋าของหญิงสาวที่หายตัวไป เมื่อตำรวจถามว่าเธออยู่ไหน นายชิราอิชิชี้ไปที่กล่องเก็บความเย็น

เขาบอกกับตำรวจด้วยว่าจะติดต่อเหยื่อผ่านทวิตเตอร์ โดยจะช่วยวางแผนฆ่าตัวตาย โดยเหยื่อรายแรกหลังจากย้ายมาอยู่ที่อพาร์ตเมนต์แห่งนี้ได้ไม่นาน และใช้เวลา 3 วันในการหั่นศพเธอ

ตอนนี้ทางตำรวจเชื่อว่านายชิราอิชิกระทำการเพียงคนเดียว แต่ก็ยังคงเป็นคำถามว่า เขาจะสามารถลงมือฆาตกรรมเหยื่อเฉลี่ยสัปดาห์ละ 1 คน โดยที่เพื่อนข้างห้องไม่สังเกตสิ่งผิดปกติได้หรือไม่ ซึ่งมีบางคนก็ได้กลิ่นเหม็นเน่าจากห้องของเขาตั้งแต่เดือนสิงหาคมแล้ว

ส่วนผู้ที่อาศัยอยู่อพาร์ตเมนต์เดียวกันบางคนกล่าวว่า ไม่อยากจะเชื่อเรื่องที่เกิดขึ้น เพราะนายชิราอิชิเป็นคนที่สุภาพ ร่าเริง และใจดี

ที่มา: japantoday