ย้อนรอย 4 คู่รักคู่แค้น ในฟุตบอลโลก 2018

“คู่รักคู่แค้น” เป็นหนึ่งในวลีที่อยู่คู่กับกีฬาฟุตบอลมาเนิ่นนาน ความเป็นคู่อริของบรรดาทีมฟุตบอลทั้งในระดับทีมชาติหรือสโมสรเกิดจากหลายเหตุปัจจัย ทั้งเรื่องเชื้อชาติ, การเมือง, ศาสนา หรือภูมิหลังทางประวัติศาสตร์ ซึ่งในฟุตบอลโลก 2018 ครั้งนี้ เราขุดเรื่องราว 4 คู่รักคู่แค้น (เฉพาะทีมที่เข้ามาเล่นในรอบสุดท้ายฟุตบอลโลกครั้งนี้) เพื่อให้ได้ทราบถึงต้นเหตุแห่งความขัดแย้งของพวกเขาเหล่านี้

Germany – England

เยอรมัน – อังกฤษ

หลายๆ คนอาจจะยังไม่รู้ว่าอังกฤษและเยอรมันอยู่ในกลุ่มชาติพันธุ์เดียวกัน ทั้งสอง 2 ชาติเป็นเป็นเผ่าเยอรมานิคเหมือนกัน มาถึงตรงนี้หลายคนอาจจะข้องใจว่าชาวอังกฤษจะเป็นญาติกับชาวเยอรมันได้อย่างไร งั้นเรามาเริ่มเรียนวิชาประวัติศาสตร์กันสักเล็กน้อย เดิมทีเกาะอังกฤษเป็นดินแดนของเป็นชาวเคลท์ จนเมื่อค.ศ. 410 ถึง ค.ศ. 1066 ชาวแองโกล-แซกซัน ซึ่งสืบเชื้อสายมาจากชนเผ่าเจอร์แมนิก, แองเกิล และจูต อพยพจากบริเวณคาบสมุทรจัตแลนด์และบริเวณนีเดอร์ซัคเซินในประเทศเยอรมนีปัจจุบัน

มิหนำซ้ำราชวงศ์ที่ปกครองประเทศอังกฤษในปัจจุบันยังเป็นราชวงศ์ที่มาจากเยอรัมนเสียด้วย โดยราชวงศ์วินด์เซอร์ เป็นราชวงศ์ที่เป็นสาขาของราชวงศ์แซ็กซ์-โคบูร์กและโกธา สืบเชื้อสายมาจากราชวงศ์เวททิน ของเยอรมนี ซึ่งในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 1 ปี ค.ศ. 1917 ได้เกิดความรู้สึกต่อต้านเยอรมนีของชาวสหราชอาณาจักรทำให้ราชสำนักได้เปลี่ยนพระนามแห่งราชสกุล รวมทั้งพระอิสสริยยศจากภาษาเยอรมันให้มีสำเนียงเป็นภาษาอังกฤษ

จากสงครามโลกครั้งที่หนึ่งเป็นต้นมาความสัมพันธ์ของอังกฤษและเยอรมันก็อยู่ในฐานะคู่แข่งกันตลอดมา และในโลกของฟุตบอล อังกฤษซึ่งทนงตนว่าตัวเองเป็นเจ้าตำรับของกีฬาฟุตบอล กลับต้องนั่งมองประเทศต่างๆ คว้าแชมป์โลก และโดยเฉพาะปี 1954 ที่สวิตเซอร์แลนคู่แข่งตัวแสบอย่างเยอรมันสามารถคว้าแชมป์ฟุตบอลโลกสมัยแรกได้สำเร็จ และนับเป็นครั้งแรกหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ชื่อของประเทศเยอรมันปรากฎไปทั่วโลกในฐานะผู้ชนะ  

จนเวลาของทัพสิงโตคำรามมาถึงในศึกฟุตบอลโลกปี 1966 ซึ่งอังกฤษเป็นเจ้าภาพ นักเตะอังกฤษในชุดสีแดงฝ่าฟันทั้งอาร์เจนติน่าและโปรตุเกสมาจนเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศ โดยคู๋ชิงของพวกเขาคือทัพอินทรีเหล็ก เจ้าของแชมป์โลก 1 สมัย ซึ่งเป็นทางอังกฤษที่ชนะไปด้วยสกอร์ 4-2 คว้าแชมป์ครั้งแรกและครั้งเดียวไปครอง

แต่มีประเด็นดราม่าเกิดขึ้นในนาทีที่ 101 เมื่อเจฟฟ์ เฮิร์สท์ ซัดบอลชนคานเต็มแรงก่อนจะกระดอนลงพื้น ในนาทีผู้ตัดสินเองก็ไม่มั่นใจนักว่าเป็นประตูหรือเพราะลูกมันเร็วมาก แต่ไลน์แมนจากสหภาพโซเวียตชี้ว่าลูกยิงดังกล่าวเป็นประตู ท่ามกลางการประท้วงของนักเตะเยอรมัน หลังจบเกมดังกล่าวคิกเกอร์ สื่อชื่อดังเมืองเบียร์ให้คำนิยามประตูของเจฟฟ์ เฮิร์สท์ว่า “ประตูที่ไม่เคยเกิดขึ้น”

เยอรมันและอังกฤษยังคงโคจรมาเจอกันหลายครั้ง และส่วนใหญ่มักลงเอยด้วยความปราชัยของทัพสิงโตคำราม เช่นในบอลโลกปี 1970 ที่เม็กซิโก เยอรมันเขี่ยอังกฤษตกรอบในรอบควอเตอร์ไฟนั่ล, บอลโลกปี 1990 เยอรมันยิงจุดโทษชนะอังกฤษในรอบรองชนะเลิศและคว้าแชมป์สมัยที่ 3 ไปครอง

แต่ก็ใช่ว่าอังกฤษจะโดนกระทำอยู่ฝ่ายเดียว โดยในรอบคัดเลือกบอลโลกปี 2002 ถือเป็นเหตุการณ์ที่จะช็อกวงการฟุตบอลจนนำมาสู่การปฏวัติวงการฟุตบอลเมืองเบียร์ในเวลาต่อมา วันที่ 1 กันยายน 2001 อังกฤษบุกไปชนะเยอรมันถึงถิ่นด้วยสกอร์ 1-5 มันช็อกแฟนบอลเยอรมันและวงการฟุตบอลเยอรัมนอย่างมาก ซึ่งคาร์ล-ไฮนซ์ รุมเมนิกเก้ CEO ของบาเยิร์น มิวนิคได้กล่าวว่า “ผมไม่เคยเห็นความพ่ายแพ้ที่น่าอัปยศแบบนี้มาก่อน นี่มันคือวอเตอร์ลูยุคใหม่”

โดยครั้งล่าสุดที่อังกฤษ-เยอรมันเจอกันในรายการเมเจอร์อย่างบอลโลกคือในปี 2010 ที่แอฟริกาใต้ และก็เป็นทางอินทรีเหล็กอีกแล้วที่ชนะไปด้วยสกอร์ 4-1 และเกมดังกล่าวก็มีดราม่าเช่นกันเมื่อลูกยิงของแฟร้งค์ แลมพาร์ด โดนคานกระดอนลงมาและกระเด็นลงมา คล้ายกับลูกของเจฟฟ์ เฮิร์สท์ในปี 1996 แต่คราวนี้มันชัดเจนมากว่าบอลเข้าประตูไปแล้ว แต่ผู้ตัดสินกับไม่ได้ให้ประตู หลังจบเกมสือของเยอรมันกล่าวว่า “หายกันกับปี 1966”

Argentina – England

อังกฤษ-อาร์เจนติน่า

แม้จะอยู่กันคนละทวีปแต่อังกฤษและอาร์เจนติน่าก็มีเรื่องราวความขัดแย้งกันมาพอสมควรเลยทีเดียว ความขัดแย้งที่รุนแรงระหว่างทั้ง 2 ชาติเริ่มขึ้นในปี 1982 เมื่ออาร์เจนติน่าอ้างว่า หมู่เกาะฟอล์คแลนด์ ที่ตั้งอยู่ใต้สุดจนเกือบของมหาสมุทรแอตแลนติก เป็นดินแดนของตนเอง ซึ่งในขณะนั้นอังกฤษครอบครองอยู่ ซึ่งทำให้ทั้ง 2 ประเทศต้องปะทะกันในสงครามฟอล์คแลนด์ และก็เป็นทางอังกฤษที่ชนะในความขัดแย้งครั้งนี้

จนในบอลโลกปี 1986 ที่เม็กซิโก เวลาที่ชาวอาร์เจนรอแก้แค้นก็มาถึงเมื่อพวกเขาต้องดวลกับอังกฤษในรอบ 8 ทีมสุดท้าย โดยในเกมดังกล่าวชายที่ชื่อ “ดิเอโก้ มาราโดน่า” ได้ทำสิ่งที่โลกจะจดจำไปอีกนานถึง 2 เหตุการณ์ด้วยกัน เหตุการณ์แรกคือ หลังเริ่มเกมในครึ่งหลังมาได้ 5 นาทีเท่านั้น มาราโดน่าได้บอลลากตัดเข้าเข้าหาเขตโทษ เขาพยายามจะจ่ายให้เพื่อนร่วมทีมแต่บอลไปโดนสตีฟ ฮ็อดจ์ สกัดบอลทะลักลอยมาเข้าทางเดิม ปีเตอร์ ชิลตันทะยานออกมาป้องกัน แต่จังหวะนั้นเองมาราโดน่าพุ่งเข้าหาชกบอลเข้าประตูไปแบบเนียนๆ ซึ่งประตูดังกล่าวถูกจดจำในชื่อหัตถ์ของพระเจ้า หรือ Hand of God ส่วนเหตุการณ์ที่ 2 คือมาราโดน่าลากบอลโซโลเดียวผ่านผู้เล่นอังกฤษ 5 คน เข้าไปยิงประตูอย่างงดงาม

ทั้ง 2 สองทีมเจอกันอีกในบอลโลกปี 1998 ที่ฝรั่งเศสโยเกมดังกล่าวมีดราม่า (อีกแล้ว) จากจังหวะที่เดวิด เบคแคมยกเท้าไปสะกิดขาหลังของดิเอโก้ ซิเมโอเน่ จนซิเมโอเน่ลงไปนอนโอดครวญเพื่อเรียกคะแนนสงสารจากผู้ตัดสิน ซึ่งได้ผลผู้ตัดสินแจกใบแดงให้เบคแฮม โดยเกมนัดนั้นจบลงที่อาร์เจนติน่าดวลจุดโทษชนะอังกฤษผ่านเข้ารอบต่อไป แต่อังกฤษก็มาแก้แค้นทัพฟ้าขาวได้ในบอลโลกปี 2002 ด้วยการเขี่ยอาร์เจนฯ ตกรอบแบ่งกลุ่ม

brazil – Argentina

อาร์เจนติน่า–บราซิล

บราซิล หรือ อาร์เจนติน่า , เปเล่ หรือ มาราโดน่า เป็นคำถามที่ยากจะตอบ ทั้ง 2 ทีมขับเคี่ยวแย่งชิงความเป็นใหญ่ในวงการลูกหนังแห่งละตินอเมริกามาอย่างยาวนาน อาร์เจนติน่าอาจประสบความสำเร็จในฟุตบอลโคปาอมเริกาถึง 14 สมัย (บราซิล 8 สมัย) แต่กลับบอลโลกบราซิลคว้าแชมป์มาได้ถึง 5 สมัย (อาร์เจนติน่า 2 สมัย)

โดยในฟุตบอลโลกปี 1982 ที่สเปน บราซิลเขี่ยอาร์เจนจิน่าตกรอบแบ่งกลุ่มไปด้วยสกอร์ 3-1 ซึ่งในเกมวันนั้นมาราโดน่าน็อตหลุดไปอัดใส่บาติสต้าของบราซิลจนโดนใบแดงไล่ออกในนาทีสุดท้าย ต่อมาในบอลโลกปี 1990 เป็นทางอาร์เจนฯ ที่แก้มือด้วยสำเร็จด้วยสกอร์ 1-0 จากลูกยิงของเคลาดิโอ คานิกเกีย นั้นคือครั้งสุดท้ายที่ทั้งคู่เจอกันในบอลโลกจนถึงปัจจุบัน

Japan–South Korea

ญี่ปุ่น-เกาหลีใต้

2 ชาติมาหาอำนาจแห่งวงการการเมืองและวงการลูกหนังเอเชีย การเจอกันของทั้ง 2 ทีมไม่ใช่เกมธรรมดาๆ จากดินแดนที่เป็นเพียงอาณานิคมของญี่ปุ่นจนก่อร้างร่างสร้างตัวเป็นมหาอำนาจได้ สิ่งหนึ่งที่เกาหลีไม่ยอมให้เกิดขึ้นเป็นอันขาดคือการพ่ายแพ้ให้กับญี่ปุ่น ในรอบคัดเลือกฟุตบอลโลกปี 1954  มี 3 ทีมจากเอเชียร่วมคัดเลือกไปเล่นบอลโลกที่สวิสเซอร์แลนด์ได้แก่ ญี่ปุ่น, เกาหลีใต้ และไต้หวัน ซึ่งทางไต้หวันได้ถอนทีมในเวลาต่อมา ทำให้ญี่ปุ่นกับเกาหลีต้องดวลกันเพื่อหาทีมเข้าไปเตะบอลโลก จากอดีตที่ข่มขืนทำให้ประธานาธิบดี รี ซัง มัน ของเกาหลีใต้ไม่อนุญาตให้นักเตะของญี่ปุ่นมาเล่นที่เกาหลีใต้ ทำให้เกมทั้ง 2 นัด จะเตะกันที่ประเทศญี่ปุ่น และเป็นเกาหลีใต้ที่ชนะไปด้วยสกอร์ รวม 7-3 ส่งให้ เกาหลีใต้ผ่านเข้าสู่ฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ และในปี 1986 ญี่ปุ่นต้องตกรอบคัดเลือกบอลโ,กจากน้ำมือของเกาหลีอีกครั้งด้วยสกอร์รวม 3-1

แต่ในรอบคัดเลือกฟุตบอลโลกปี 1994 ถือเป็นเหตุการณ์ที่ช็อกวงการฟุตบอลญี่ปุ่นอย่างมาก โดยในช่วงโค้งสุดท้ายของรอบคัดเลือกญี่ปุ่นต้องการชนะอิรัคให้ได้เพื่อโอกาสที่จะผ่านเข้ารอบฟุตบอลโลกเป็นครั้งแรก ในขณะเดียวกัน เกาหลีใต้เองก็ต้องเก็บชัยชนะเหนือเกาหลีเหนือให้ได้ และต้องลุ้นให้ญี่ปุ่นไม่ชนะอิรัคด้วย ซึ่งก็ดูเหมือนฟ้าจะเข้าข้างเกาหลีเพราะญี่ปุ่นดันเสมอกับอิรัคไป 2-2 ส่วนเกาหลีใต้ก็อัดเกาหลีเหนือไปสบายๆ 3-0 ทำให้เกาหลีใต้แซงเขารอบสุดท้ายฟุตบอลโลกไปในที่สุด

ในปี 2002 ทั้งสองชาติจับมือกันจัดฟุตบอลโลกโดยญี่ปุ่นนั้นร่วงตกรอบตั้งแต่รอบแบ่งกลุ่ม ส่วนเกาหลีต้นั้นไปได้ไกลที่อันดับที่ 4  ท่ามกลางข้อครหาจากคนทั่วโลก