สืบภาค 5 รวบแก๊งโรแมนซ์สแกมไนจีเรีย พร้อมแฟนสาวชาวไทย ปลอมเฟซบุ๊กลวงสาวไทย เป็นเศรษฐีธุรกิจเรือยอร์ช หลอกโอนเงิน เหยื่อหลงเชื่อกว่า 100 ราย สูญเงิน รวมกว่า 30 ล้านบาท
วันที่ 9 ก.พ. 62 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พล.ต.ต.สุรพล เปรมบุตร ผู้บังคับการสืบสวน และ พ.ต.อ.ธวัชชัย พงษ์วิวัฒน์ชัย รองผู้บังคับการสืบสวน กองบังคับการสืบสวนสอบสวน ตำรวจภูธรภาค 5 ร่วมกันสอบปากคำ นายอาก้า หรือ นายอูลาซี เอชซาว เอมมานูเอล ( MR.ULASI ECHEZOA EMMANUEL) อายุ 33 ปี สัญชาติไนจีเรีย และผู้ต้องหาหญิงชาวไทยอีก 2 คน ซึ่งหนึ่งในนั้นเป็นภรรยาของ นายอาก้า หลังทั้งหมดถูกเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน ภาค 5 ติดตามจับกุมได้ที่ประเทศมาเลเซีย พร้อมพวกรวม 15 คน เมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา
คดีนี้สืบเนื่องจากเมื่อเดือนมิถุนายน-กรกฎาคม 2561 มีผู้เสียหายเข้าแจ้งความกับพนักงานสอบสวน สถานีตำรวจภูธรเมืองเชียงใหม่ ว่ารู้จักกับชายชาวต่างชาติคนหนึ่งทางเฟซบุ๊ก โดยชายชาวต่างชาติรายนี้อ้างตัวเป็นเจ้าของธุรกิจเรือสำราญที่ประเทศอเมริกา หลังพูดคุยกันผ่านช่องทางแชท จนสนิทสนมถึงขั้นตกลงคบหากัน จากนั้นชายชาวต่างชาติรายนี้ตกลงจะส่งของมีค่ามาให้ผู้เสียหาย และหลังเสร็จจากการล่องเรือสำราญจากอเมริกาไปออสเตรเลียแล้ว จะเดินทางมาหาที่ประเทศไทย
ต่อมา ชาวต่างชาติคนดังกล่าวได้โทรศัพท์มาแจ้งว่า ส่งของมีค่ามาให้แล้วแต่ถูกกักไว้ที่ศุลกากร ต้องนำเงินไปจ่ายค่าภาษีจึงจะนำของมีค่าออกมาได้ จากนั้นก็มีหญิงสาวอ้างตัวเป็นเจ้าหน้าที่ศุลกากรโทรมาแจ้งว่าจะต้องโอนเงินค่าภาษีเข้าบัญชีเป็นจำนวน 5 หมื่นบาท แต่เมื่อโอนไปกลับไม่ได้รับของตามที่ตกลง โดยมีการติดต่อกลับมาว่าต้องจ่ายภาษีเพิ่มอีก กระทั่งถูกหลอกให้โอนเงินไปทั้งหมด 1.4 ล้านบาท จากนั้นชาวต่างชาติรายนี้ได้ปิดอีกเฟซบุ๊กหนี ไม่สามารถติดต่อได้ จึงแน่ใจว่าถูกหลอก
พล.ต.ต.สุรพล กล่าวว่า ผู้ต้องหาในคดีนี้มีทั้งหมด 17 คน ถือเป็นอาชญากรข้ามชาติ มีพฤติกรรมหลอกลวงสาวไทย โดยปลอมเฟซบุ๊กขึ้นมา และใช้ภาพของหนุ่มต่างชาติหน้าตาดีเป็นโปรไฟล์ มีฐานะร่ำรวยถึงขั้นเศรษฐี จากนั้นจะเลือกติดต่อกับเหยื่อที่เป็นหญิงสาวที่ค่อนข้างมีฐานะ หรือ เคยทำงานในประเทศมาเลเซีย หลังเข้ามาตีสนิทก็จะหลอกให้หลงรัก จากนั้นจะลวงเหยื่อร่วมลงทุนธุรกิจ หรือ หลอกว่าจะส่งทรัพย์สินมีค่าให้ เบื้องต้นมีหญิงสาวชาวไทยที่เป็นผู้เสียหายถูกหลอกลวงทั่วประเทศกว่า 100 ราย รวมมูลค่าความเสียหายกว่า 30 ล้านบาท
หลังสอบปากคำ เจ้าหน้าที่ได้แจ้งข้อหา “ร่วมกันฉ้อโกงประชาชนโดยแสดงตัวเป็นบุคคลอื่น และมีส่วนร่วมในองค์กรข้ามชาติ” จากนั้นได้ควบคุมผู้ต้องหาทั้งหมด ส่งพนักงานสอบสวน สถานีตำรวจภูธรเมืองเชียงใหม่ ดำเนินคดีตามกฎหมาย ขณะเดียวกันจะขยายผลถึงกลุ่มผู้ร่วมขบวนการที่ยังหลบหนีต่อไป