Jurassic World: Fallen Kingdom มันก็ยังสนุก และมีความเปลี่ยนแปลงใหม่ๆ แต่ก็คล้ายๆ ว่าถ้าได้อีกนิดมันจะสุดกว่านี้
เนื้อเรื่องในภาคนี้เริ่มที่เหล่าไดโนเสาร์ที่สวนสนุก จูราสสิค เวิลด์ บนเกาะอิสลา นูบลาร์ ซึ่งถูกทำลายจากภาคก่อน หลุดออกมาจากกรงที่ถูกมนุษย์ทิ้งร้างและพากันไปอยู่อาศัยอยู่ในป่า แต่โชคไม่ดีที่ภูเขาไฟบนเกาะกำลังจะระเบิด (บังเอิญเข้าฉายช่วงเดียวกับภูเขาไฟที่กัวเตมาลาระเบิดอีก) และถ้าปล่อยไว้เฉยๆ สัตว์ที่เคยสูญพันธุ์เหล่านี้ก็จะสูญพันธุ์อีกรอบ
แคลร์ (ไบรซ์ ดัลลัส ฮาวเวิรด์) ซึ่งในภาคนี้หันมาทำงานเพื่อช่วยชีวิตไดโนเสาร์ที่อยู่บนเกาะ ได้รับความช่วยเหลือจากเบนจามิน ล็อควูด (เจมส์ ครอมเวลล์) เพื่อนเก่าของริชาร์ด แฮมมอนด์ ผู้ก่อตั้ง Jurassic Park (ภาคแรก) ให้เข้าไปที่เกาะอิสลา นูบลาร์ พร้อมกับ โอเว่น (คริส แพรทท์) เพื่อช่วยเหลือไดโนเสาร์ออกมาให้ได้มากที่สุด โดยเฉพาะเจ้า “บลู” แรปเตอร์แสนรู้ และมันก็เป็นปฏิบัติการที่ต้องแข่งกับเวลาอย่างสูงเมื่อลาวาเริ่มไหลลงมาท่วมเกาะ
แน่นอนว่าปฏิบัติการช่วยเหลือไดโนเสาร์ครั้งนี้ต้องมีบางอย่างผิดแผนตามสไตล์ของแฟรนไชส์ Jurassic และหนังก็ไม่ให้เรารอนาน เพราะแค่ใน 15 นาที แรก ตัวละครทุกตัวก็วิ่งกันป่าราบแล้ว (ป่าราบจริงๆ เพราะลาวาท่วม)
สิ่งที่แตกต่างออกไปจากภาคก่อนๆ คือ Fallen Kingdom (ซึ่งเป็นภาคที่ 5 ถ้านับตั้งแต่ Jurassic Park) ให้ความรู้สึกเป็นหนังสยองขวัญมากกว่าภาคที่ผ่านๆ มาอย่างชัดเจน
แม้ว่าไดโนเสาร์ผลุบๆ โผล่ๆ จะเป็นเรื่องปกติของแฟรนไชส์ชุดนี้อยู่แล้ว แต่โทนของ Fallen Kingdom นั้นทำให้คนดูรู้สึกผวาเหมือนเห็นผีมากกว่า โดยเฉพาะ “การหนีไดโนเสาร์ได้ทันแบบเฉียดฉิว” ผู้กำกับ เจ.เอ. บาโยน่า จัดมาให้คนดูได้ลุ้นกันแทบตลอดทั้งเรื่อง
แต่จะให้แค่ลุ้นแคล์กับโอว่นโดนไดโนเสาร์ขย้ำก็จะดูจะไม่ค่อยตื่นเต้นเท่าไหร่ ภาคนี้เลยต้องมีหนูน้อยเมซี่ (อิซาเบลล่า เซอร์มอน) ที่ดูจะอ่อนแอที่สุดในเรื่อง มาคอยช่วยวิ่งหนีคมเขี้ยวไดโนเสาร์อีกคน ซึ่งท่าทีที่ไร้เดียงสาและไม่รู้จะช่วยเหลือตัวเองอย่างไรของเธอนี่แหละที่ทำให้คนดูลุ้นที่สุด
เพื่อเพิ่มความเข้มข้นให้เนื้อเรื่อง Fallen Kingdom ตั้งคำถามในเรื่องสิทธิ์ของไดโนเสาร์ สัตว์ที่เคยสูญพันธุ์ไปแล้วแต่ก็กลับมามีชีวิตอีก (และกำลังเข้าข่ายสูญพันธุ์อีกครั้ง) ว่าควรจะได้รับการปกป้องคุ้มครองหรือไม่
ถ้าเป็นเสือเบงกลอ หรือปลาโลมาอิรวดี คงไม่ใช่เรื่องยากที่จะตัดสินใจ แต่เมื่อเป็นสัตว์ร้ายโคลนนิ่งที่มีแนวโน้มว่าจะไม่สามารถควบคุมได้แบบนี้ เมือลองคิดตามหนังดู มันก็น่าหนักใจอยู่เหมือนกัน แม้ว่าไดโนเสาร์ในภาคนี้จะมีอารมณ์ดราม่าเพิ่มขึ้นก็ตาม
โดยรวม Jurassic World: Fallen Kindom ยังทำให้คนดูสนุกกับหนังได้อย่างเต็มที่ เราได้เห็นถึงความพยายามที่จะสร้างความแตกต่างจากภาคที่แล้วๆ มา (แม้ว่าพล็อตของเรื่องยังเดาไม่ยากก็ตาม) แต่การที่บทบาทของไดโนเสาร์ในเรื่องถูกเน้นอยู่เพียงแค่ไม่กี่ตัว และอาณาเขตของการวิ่งไล่ล่าที่ดูจะแคบลงไปมากเมื่อเทียบกับที่ผ่านๆ มา มันเลยอาจทำให้ความอลังการลดลงเมื่อเทียบกับภาคก่อนๆ
เมื่ออยู่ในยุคที่ซีจีล้ำหน้าขนาดนี้ คงเป็นเรื่องยากที่ผู้สร้างจะทำให้คนดูตาค้างกับการปรากฎตัวของเจ้าไดโนเสาร์คอยาวตัวยักษ์เหมือนเมื่อ 25 ปีก่อนอีกครั้ง และคงต้องไปวัดกันที่ชั้นเชิงการเสนอความตื่นเต้นให้คนดูกันแทน
โคลิน เทรเวอร์โรว์ (Colin Trevorrow) มือเขียนบท Jurassic World เผยว่าเขากำลังเขียนบท Jurassic World 3 อยู่ แม้ว่ายังไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดของภาคต่อไปออกมา แต่โคลินบอกว่า ขณะที่ Jurassic World (2015) นั้นเป็นแนวแอ็คชั่นผจญภัย และ Fallen Kingdom ออกแนวตื่นเต้นสยองขวัญ ส่วน Jurassic World 3 นั้น จะเป็นแนวทริลเลอร์วิทยาศาสตร์ ที่จะใกล้เคียงกับต้นฉบับ Jurassic Park (1993) ของสตีเวน สปีลเบิร์ก มากที่สุด