SHARE

คัดลอกแล้ว

กระทรวงพลังงาน เตรียมประกาศรายชื่อบริษัทที่ผ่านคุณสมบัติเบื้องต้น ในการประมูลยื่นขอสิทธิสำรวจและผลิตปิโตรเลียมแปลงสำรวจในทะเลอ่าวไทย (เอราวัณ – บงกช) ตามที่กฎหมายกำหนด ในวันที่ 28 พ.ค.นี้ และหากคุณสมบัติผ่านจะสามารถเข้าดูข้อมูลเพื่อเตรียมการยื่นประมูลต่อไป

นายศิริ จิระพงษ์พันธ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยความคืบหน้าการเปิดประมูลยื่นขอสิทธิสำรวจและผลิตปิโตรเลียมแปลงสำรวจในทะเลอ่าวไทยหมายเลข G1/61 (แหล่งเอราวัณ) และ G2/61 (แหล่งบงกช) ตามทีโออาร์การเปิดประมูลภายใต้ระบบสัญญาแบ่งปันผลผลิต (Production Sharing Contract : PSC)

ภายหลังจากที่กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ ได้เปิดให้ผู้ที่สนใจเข้าร่วมประมูลยื่นขอสิทธิสำรวจและผลิตปิโตรเลียมแปลงสำรวจในทะเลอ่าวไทยหมายเลข G1/61 และ G2/61 เข้ายื่นแสดงความจำนงเพื่อเข้าร่วมการพิจารณาคุณสมบัติเบื้องต้น เมื่อวันที่ 4 พ.ค.61 และกำหนดให้ผู้ที่สนใจเข้าร่วมประมูล เข้ายื่นหลักฐานแสดงคุณสมบัติเบื้องต้น ในวันที่ 15-16 พ.ค. 2561

โดยในวันที่ 15-16 พ.ค.61 มีผู้ประกอบการ ได้เข้ายื่นหลักฐานแสดงคุณสมบัติเบื้องต้น ณ กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ ในการประมูลยื่นขอสิทธิสำรวจและผลิตปิโตรเลียมแปลงสำรวจในทะเลอ่าวไทย ดังนี้

  • แปลง G1/61 (แหล่งเอราวัณ) มีผู้ประกอบการเข้ายื่นขอสิทธิ จำนวน 5 บริษัท ได้แก่
  1. บริษัท Chevron Thailand Holdings Ltd.
  2. บริษัท PTTEP Energy Development Company Limited
  3. บริษัท MP G2 (Thailand) Limited
  4. บริษัท Total E&P Thailand
  5. บริษัท OMV Aktiengesellschaft
  • แปลง G2/61 (แหล่งบงกช) มีผู้ประกอบการเข้ายื่นขอสิทธิ จำนวน 4 บริษัท ได้แก่
  1. บริษัท Chevron Thailand Holdings Ltd.
  2. บริษัท PTTEP Energy Development Company Limited
  3. บริษัท MP L21 (Thailand) Limited
  4. บริษัท OMV Aktiengesellschaft

สำหรับขั้นตอนต่อไป กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติจะใช้เวลาประมาณ 10 วัน ในการพิจารณา และจะประกาศผลผู้ที่ผ่านการพิจารณาคุณสมบัติเบื้องต้น ในวันที่ 28 พ.ค.61 ทางเว็บไซต์กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ

ทั้งนี้ ผู้ที่จะผ่านขั้นตอนการพิจารณาคุณสมบัติเบื้องต้น และมีสิทธิเข้าร่วมประมูลสำรวจและผลิตปิโตรเลียมแปลงสำรวจในทะเลอ่าวไทยหมายเลข G1/61 (แหล่งเอราวัณ) จะต้องมีกิจการที่มีส่วนของผู้ถือหุ้น (Shareholder’s Equity) อย่างน้อย 4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐอเมริกา ระหว่างปี 2559 – 2560

ส่วนผู้ที่จะมีสิทธิร่วมประมูลสำรวจและผลิตปิโตรเลียมแปลงสำรวจในทะเลอ่าวไทย หมายเลข G2/61 (แหล่งบงกช) จะต้องมีกิจการ ที่มีส่วนของผู้ถือหุ้น (Shareholder’s Equity) อย่างน้อย 2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐอเมริกา ระหว่างปี 2559 – 2560 และยังจะต้องเป็นผู้มีประสบการณ์ในการดำเนินงานการผลิตปิโตรเลียมในทะเล (Offshore Gas Field Operate) อย่างน้อย 1 แหล่ง ที่มีอัตราการขายก๊าซธรรมชาติเฉลี่ยไม่น้อยกว่า 100 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน ระหว่างปี 2559 – 2560

โดยการพิจารณาดังกล่าว เพื่อให้ได้ผู้ประกอบการที่มีประสบการณ์ ความเชี่ยวชาญ และความสามารถ เข้ามารับสิทธิเป็นผู้ดำเนินการสำรวจ พัฒนา และผลิตก๊าซธรรมชาติทั้ง 2 แหล่ง ให้เกิดความต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพร่วมกับภาครัฐ

ทั้งนี้ ระบบสัญญาแบ่งปันผลผลิต (Production Sharing Contract) หรือระบบ PSC ที่นำมาใช้ในการเปิดประมูลยื่นขอสิทธิสำรวจและผลิตปิโตรเลียมแปลงสำรวจในทะเลอ่าวไทยหมายเลข G1/61 และ G2/61 (แหล่งเอราวัณและบงกช) ในครั้งนี้ เป็นผลสืบเนื่องจากกระบวนการปฏิรูปด้านพลังงานของรัฐบาล ภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่ได้มีการแก้ไข พ.ร.บ.ปิโตรเลียม ให้สามารถใช้ระบบสัญญาแบ่งปันผลผลิตและสัญญาจ้างบริการแทนที่จะมีระบบสัมปทานเพียงอย่างเดียว ซึ่งเป็นไปตามข้อเสนอของสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.)

  • เอราวัณ จุดเริ่มต้นแหล่งพลังงานไทยจากท้องทะเล

เมื่อปี พ.ศ. 2511 ประเทศไทยได้เริ่มให้สัมปทานสำรวจและผลิตปิโตรเลียมในอ่าวไทย ในบริเวณแปลงสำรวจหมายเลข 12 ถือเป็นแปลงที่ตั้งอยู่ใกล้ชายฝั่งมากที่สุด โดยห่างจากชายฝั่งจังหวัดสุราษฎร์ธานีประมาณ 145 กิโลเมตร ซึ่งอีก 5 ปีต่อมา ได้ค้นพบก๊าซธรรมชาติที่มีปริมาณเพียงพอต่อการผลิตและคุ้มค่าในเชิงพาณิชย์ในพื้นที่แปลงสำรวจย่อยหมายเลข 12-1 และเนื่องจากเป็นโครงสร้างทางธรณีวิทยาแห่งแรกในอ่าวไทยที่มีการค้นพบก๊าซธรรมชาติในปริมาณมาก จึงได้รับการขนานนามว่า โครงสร้าง “เอ” โดยต่อมาได้เปลี่ยนชื่อใหม่เป็น “แหล่งก๊าซธรรมชาติเอราวัณ” ซึ่งชื่อเอราวัณนี้หมายถึงชื่อช้างของพระอินทร์ เป็นช้างสามเศียรที่มีอิทธิฤทธิ์ ในตำนานพระอินทร์ได้ใช้ต่อสู้กับเหล่ามารเพื่อปกป้องบ้านเมือง เฉกเช่นเดียวกันกับแหล่งก๊าซธรรมชาติเอราวัณที่ถือเป็นแหล่งทรัพยากรปิโตรเลียมที่เปรียบเสมือนอาวุธสำคัญ ที่ใช้ต่อสู้กับวิกฤติเศรษฐกิจ ลดการนำเข้าพลังงานจากต่างประเทศ

แหล่งก๊าซธรรมชาติเอราวัณได้ดำเนินการสำรวจมาจนกระทั่ง 17 สิงหาคม พ.ศ.2524 จึงได้เริ่มมีการผลิตและซื้อขายก๊าซธรรมชาติเป็นครั้งแรก แต่เมื่อเริ่มกระบวนการผลิตไประยะหนึ่ง กลับพบว่าปริมาณสำรองของแหล่งก๊าซธรรมชาติเอราวัณมีปริมาณน้อยกว่าที่คาดคะเนไว้ และมีลักษณะเป็นกระเปาะเล็กๆ กระจัดกระจายเป็นจำนวนมาก ซึ่งเป็นผลจากการเคลื่อนตัวของชั้นหินใต้พื้นพิภพ ทำให้ต้องปรับแนวทางการพัฒนาแหล่งก๊าซเพื่อให้เหมาะสมกับลักษณะธรณีวิทยาของอ่าวไทย โดยปรับเปลี่ยนเป็นติดตั้งแท่นหลุมผลิตก๊าซจำนวนมาก กระจายออกไปในพื้นที่ของแหล่งกักเก็บก๊าซต่างๆ แล้วส่งก๊าซธรรมชาติผ่านทางท่อใต้น้ำมายังแท่นผลิตกลาง

ทั้งนี้ การดำเนินงานผลิตก๊าซธรรมชาติ ถือเป็นงานที่ไม่เคยมีมาก่อนในประเทศไทย จึงยังไม่มีการนำระบบต่างๆ ในการทำงานเข้ามาใช้ กระทั่งต่อมา ได้เริ่มต้นใช้ระบบการดูแลบำรุงรักษาอุปกรณ์ต่างๆ ตลอดจนระบบจัดการเรื่องความปลอดภัย (International Safety Rating System : ISRR) เพื่อใช้รวบรวมสถิติ วิเคราะห์ และเรียนรู้จากอุบัติการณ์ที่เกิดขึ้น และต่อมาได้นำระบบตรวจสอบ (Inspection System) มาใช้เพื่อตรวจสอบแท่นผลิตปิโตรเลียม อุปกรณ์และท่อก๊าซ เพื่อให้แน่ใจว่าอุปกรณ์นั้นๆ อยู่ในสภาพที่สมบูรณ์และพร้อมใช้งานอยู่เสมอ รวมไปถึงระบบอัดน้ำกลับลงหลุมผลิต (Water Injection) ที่นำมาใช้กับแหล่งเอราวัณเป็นแห่งแรกในประเทศไทย ซึ่งระบบนี้ช่วยรักษาสิ่งแวดล้อมในบริเวณที่ทำการผลิตปิโตรเลียมได้ดียิ่งขึ้น และได้มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้สามารถทำการสำรวจและผลิตได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัยมากขึ้น รวมถึงมีการย้ายห้องควบคุม และแท่นผลิตกลาง มาอยู่ที่แท่นพักอาศัย โดยไม่ต้องหยุดทำการผลิตเลย

กว่า 36 ปี ที่เริ่มผลิตก๊าซครั้งแรก จนกระทั่งวันนี้ กลุ่มเอราวัณสร้างรายได้ให้ภาครัฐรวมกว่า 275,607.85 ล้านบาท มีปริมาณการผลิตรวมของก๊าซธรรมชาติ 3,446 ล้านล้านลูกบาศก์ฟุต คอนเดนเสท 127 ล้านบาร์เรล มีปริมาณการผลิตในปัจจุบันอยู่ที่ 1,300 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน คอนเดนเสท 45,000 บาร์เรลต่อวัน และน้ำมันดิบ 33,000 บาร์เรลต่อวัน

แหล่งก๊าซธรรมชาติเอราวัณ ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการพัฒนาประเทศมาจนถึงทุกวันนี้ เพราะนอกจากจะได้สร้างรายได้ให้กับประเทศอย่างมากแล้ว ยังเป็นแรงกระตุ้นให้เกิดการสำรวจและผลิตปิโตรเลียมในพื้นที่อื่นๆ และต่อเนื่องไปยังการสร้างอาชีพ รวมถึงอุตสาหกรรมต่อเนื่องอีกมากมาย

  •        บงกช แหล่งพลังงานขับเคลื่อนอนาคตไทย 

จากการค้นพบน้ำมันและก๊าซธรรมชาติในปี 2516 จากหลุม 15-B-1X ในเขตสัมปทาน B15 ซึ่งอยู่ในพื้นที่ที่เรียกว่า “แอ่งมาเลย์” และไม่มีใครคาดคิดว่าจะเป็นแหล่งทรัพยากรขนาดใหญ่ แต่ต่อมาผู้เจาะสำรวจในขณะนั้น ก็ได้ยืนยันว่าพื้นที่บริเวณนี้ มีแหล่งก๊าซธรรมชาติขนาดใหญ่ จากนั้นได้ขุดเจาะอีกถึง 23 หลุม เพื่อยืนยันลักษณะทางธรณีวิทยาของแหล่งก๊าซธรรมชาติดังกล่าวในรอยแยกของชั้นหิน ที่รู้จักกันในวงการว่า “โครงสร้างบี” ส่งผลให้รัฐบาลไทยในขณะนั้น ตระหนักถึงผลประโยชน์อันมหาศาลจากก๊าซธรรมชาติที่มีอยู่ จึงซื้อสัมปทานคืนจากบริษัทที่ถือครองสัมปทาน และมอบหมายให้ ปตท.สผ. ที่ได้ก่อตั้งขึ้นเมื่อเดือนมิถุนายน 2528 เป็นผู้ถือครองสัมปทานแทน

ต่อมาในปี 2533 ปตท.สผ. ได้ร่วมทุนกับบริษัทน้ำมันระดับโลก 3 แห่ง เพื่อพัฒนา “โครงสร้างบี” ซึ่งได้รับการขนานนามใหม่ว่า “แหล่งก๊าซบงกช” แปลได้ว่า ดอกบัว โดยเปรียบว่า การเริ่มผลิบานขึ้นในช่วงที่ประเทศไทยยังพึ่งพาการนำเข้าพลังงานปิโตรเลียมทุกชนิด และการผลิบานของ “บงกช” นี้เอง เป็นจุดเริ่มต้นของการพึ่งพาตนเองด้านพลังงานของประเทศ และส่งผลต่อเนื่องไปยังการพัฒนาด้านเศรษฐกิจอีกหลายแขนงที่ต่อยอดมาจากก๊าซธรรมชาติ เช่นอุตสาหกรรมปิโตรเคมี

กว่า 25 ปีที่ “แหล่งบงกช” ยังคงเป็นแหล่งก๊าซที่ใหญ่และสำคัญที่สุดของประเทศไทย มีบทบาทและสร้างคุณค่ามากมายให้เป็นที่ประจักษ์ในด้านพลังงาน แหล่งบงกชเป็นแหล่งก๊าซที่มีอัตราการผลิตคงที่ ให้ความเชื่อมั่นได้ถึงร้อยละ 99.5 มีอัตราการผลิตก๊าซสูงกว่า 900 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน พร้อมทั้งคอนเดนเสทประมาณ 27,000 บาร์เรลต่อวัน ตอบสนองความต้องการด้านก๊าซธรรมชาติในประเทศได้ถึงร้อยละ 20 หรือเท่ากับร้อยละ 30 ของปริมาณก๊าซทั้งหมดที่ผลิตได้ภายในประเทศ
นอกจากนั้น แหล่งก๊าซบงกชยังเป็นหนึ่งในแหล่งก๊าซธรรมชาติรายใหญ่ที่ใช้ในการผลิตกระแสไฟฟ้า ในปัจจุบันร้อยละ 70 ของการผลิตไฟฟ้าในประเทศไทยใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง

รวมถึงกระบวนการผลิตที่เป็นมิตรต่อระบบนิเวศและสิ่งแวดล้อม ที่ถือเป็นบทบัญญัติสำคัญของการปฏิบัติงาน สภาพแวดล้อมด้านอากาศและน้ำจะได้รับการปกป้องอย่างดี รวมถึงมาตรการเข้มงวดด้านความปลอดภัยที่มีมาอย่างยาวนาน ที่แม้ว่าแหล่งบงกชจะทำงานกับวัตถุไวไฟ แต่ที่นี่ ยังคงเป็นสถานที่มีความปลอดภัยในการทำงานสูงสุดแห่งหนึ่งเสมอมา

ขอบคุณข้อมูลจาก กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ

podcast

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้ และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณเพื่อเราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมกับความสนใจของคุณ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมเราจะไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาและโฆษณาได้ไม่ตรงกับความสนใจของคุณ
    รายละเอียดคุกกี้

บันทึกการตั้งค่า