เลือกตั้ง 62 | ไม่ชัดเจนในจุดยืน-ขาดความสดใหม่ “ประชาธิปัตย์” สูญพันธุ์ในกรุงเทพฯ

กลายเป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่อ เมื่อพรรคประชาธิปัตย์ ไม่เหลือ ส.ส.ในกรุงเทพมหานครเลยแม้แต่คนเดียว 

คะแนนอย่างไม่เป็นทางการของค่ำคืนวันอาทิตย์ที่ 24 มีนาคม 2562 ใน 30 เขตของกรุงเทพมหานคร แบ่งเป็น พลังประชารัฐ 13 เขต เพื่อไทย 9 เขต และ อนาคตใหม่ 8 เขต แต่ถ้าย้อนกลับไปดูการเลือกตั้งครั้งที่แล้ว ในปี พ.ศ.2554 ประชาธิปัตย์ ครองแชมป์กรุงเทพฯ ด้วยจำนวนสส. 20 คน (จากทั้งหมด 33 คน)

ที่ผ่านมาประชาธิปัตย์ไม่เคยสิ้น ส.ส.ในกรุงเทพฯ แม้ในปี 2535 กระแสพรรคพลังธรรมฟีเวอร์ พวกเขาก็ยังมี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ สอดแทรกเป็น ส.ส.คนเดียวของพรรค แต่ในคราวนี้ ปี 2562 ไม่เหลือเลยสักคน

คำถามที่น่าสนใจคือ มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ กับประชาธิปัตย์

1) New Voter ต้องการความสดใหม่

นี่คือการเลือกตั้งครั้งแรกในรอบ 8 ปี เท่ากับว่า นี่คือวันที่คนอายุ 18-25 ปี จะได้เลือกตั้งเป็นครั้งแรกในชีวิต คนกลุ่มนี้ มีความฝัน ต้องการความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในประเทศ

หากลองไปดูพรรคอนาคตใหม่ ที่ประกอบไปด้วยผู้คนจากหลายสาขาอาชีพ มารวมตัวกัน และมีจุดยืนทางการเมืองที่ชัดเจน และที่สำคัญเป็นผู้สมัครหน้าใหม่เกือบทั้งหมด คาแรกเตอร์ของธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจก็โดดเด่น น่าจะเป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ช่วยดึงคะแนนจากคนรุ่นใหม่ได้มาก

ภาพลักษณ์ของประชาธิปัตย์ ยังคงมีภาพลักษณ์ของ พรรคเก่า ยังมีคำว่าสถาบันค้ำอยู่ นั่นทำให้ กระแสของ New Voter ไม่เลือกเทคะแนนเสียงให้ ประชาธิปัตย์

2) การกาได้ครั้งเดียว

ปัจจัยนี้สำคัญมาก ในการเลือกตั้งครั้งนี้ ผู้มีสิทธิออกเสียง จะสามารถกากบาทได้แค่ครั้งเดียวเท่านั้น นั่นแปลว่า ต้องคิดทบทวนให้ดีในการเลือก

หลายคน อยากเลือกประชาธิปัตย์เป็น ส.ส.เขต แต่ทว่า ก็อยากเทคะแนนเสียงให้พรรคอื่นๆ ในระบบปาร์ตี้ลิสต์ด้วย ไม่ว่าจะเป็นอนาคตใหม่ พลังประชารัฐ เพื่อไทย หรือ แม้แต่เศรษฐกิจใหม่ ของมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์

ผู้สมัคร ส.ส.ของประชาธิปัตย์ ต่อให้โดดเด่น ก็ยังไม่มีแรงดึงดูดมากพอ ทำให้ในยามที่คนออกไปกากบาทพวกเขาไม่ได้รับคะแนนเสียงหนึ่งเดียว ของผู้สิทธิเลือกตั้งครั้งนี้

3) จุดยืนเรื่องร่วมรัฐบาลที่คลุมเครือไม่ชัดเจน

อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ประกาศจุดยืนว่าจะไม่จับมือร่วมกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ไม่สนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ให้เป็นนายกรัฐมนตรี แต่กลับไม่ตอบอย่างชัดเจนว่า จะร่วมงานกับพรรคพลังประชารัฐหรือไม่

อภิสิทธิ์ พูดถึงหลักการประชาธิปไตย แต่ตัวพรรคเอง ยังดูไม่เคลียร์ และอาจร่วมรัฐบาลกับพลังประชารัฐได้ คือถ้ามีการพูดคุยว่าถ้าวางโพสิชั่นชัดเจน แบบอนาคตใหม่ หรือ เศรษฐกิจใหม่ ว่าไม่ร่วมกับพลังประชารัฐไปเลย ก็อาจจะทำให้พวกเขาได้คะแนนเสียงเพิ่มขึ้นกว่านี้

เช่นเดียวกัน ถ้าพวกเขาประกาศให้ชัดเจนว่า พร้อมเข้าร่วมกับพลังประชารัฐ ก็อาจได้คะแนนเสียงจากฐานกลุ่ม พปชร. หรือ กลุ่มอนุรักษ์นิยม ที่ไม่ต้องการ การเปลี่ยนแปลง แต่จุดยืนที่ไม่ชัดเจนทำให้พวกเขาไม่ได้รับคะแนนจากฝั่งใดเลย

สำหรับการเลือกตั้งครั้งนี้ แม้แต่ ส.ส.ที่ ครองแชมป์มานาน ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2550 อย่าง เจิมมาศ จึงเลิศศิริ ในเขต 1 ของกทม. ยังพ่ายแพ้ โดยมีคะแนนไม่ติดท็อป 3

รวมถึง “ไอติม” พริษฐ์ วัชรสินธุ คนรุ่นใหม่ ที่จบอ็อกซ์ฟอร์ด และเป็นตัวเต็งของเขต 13 ก็ได้รับคะแนนเสียงไม่ติดท็อปทรีเช่นกัน

หลังจากนี้ไป พรรคประชาธิปัตย์ อาจจำเป็นต้องผ่าตัดครั้งใหญ่ และตอบคำถามให้ได้ ว่าพวกเขาต้องแก้เกมอย่างไรถึงจะกลับมาอยู่ในใจของคนกรุงเทพฯอีกครั้ง