Advertisement

SHARE

คัดลอกแล้ว

“ก่อนหน้านี้ผมคิดว่าผมเป็นมัจจุราช ตัดสินชีวิตคนได้ ผมเหมือนองคุลีมาล ทำบาปลงไปเพราะความหลงผิด เป็นเพราะตอนนั้นเรายังไม่มีปัญญา ยังมีความคิดที่เป็นอกุศล

“พอมาคิดได้ก็นึกว่าถึงเราจะไปสงสารเขา เขาก็ไม่ฟื้นขึ้นมาอีกแล้ว ต่อไปนี้เราจะหยุดอยู่ที่เขา เราจะไม่ไปสร้างบาปหนที่สองอีกต่อไป ผมถือว่าคนที่เราฆ่านี่แหละคือครูของเรา เขาเป็นครูที่ทำให้เราได้คิด”

จ๊อด หนุ่มวัย ๒๘ สายเลือดปักษ์ใต้ องคุลีมาลยุคปี ๒๕๖๑ นักเรียนปั้นพระรุ่น ๓ สะท้อนใจเบื้องลึกของตนเอง ขณะที่มือกำลังสาละวนกับการขัดแต่งพระพุทธรูปที่หล่อด้วยเรซิ่นองค์เล็กจำนวนสององค์ที่อาจารย์เพิ่งสอนเขาและเพื่อนๆ

บรรยากาศในชั้นเรียนที่ริมสนามฟุตบอลสีเขียวชื่นตาอยู่ในช่วงสายลมหนาวมาเยือน ต้นหูกวางที่นักเรียนอาศัยร่มเงาทำงานเริ่มผลัดใบเป็นสีแดงส้มสวยงาม พากันเริงระบำเล่นล้อสายลม ไม่ต่างจากใจที่กำลังชื่นบานของบรรดานักเรียนทั้งหลายเมื่อนึกถึงว่าปลายเดือนนี้ พ่อ แม่ คนในครอบครัวจะได้มารับมอบพระพุทธรูปที่แต่ละคนปั้นจากมือของลูก เพื่อนำไปเป็นพระบูชาประจำบ้าน

ใช่เพียงงานพุทธศิลป์จะช่วยขัดเกลาใจของนักเรียน แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ของคุณความดี ความกตัญญูที่พวกเขาจะได้ตอบแทนพระคุณพ่อแม่ นั่นคือคุณค่าใหม่ของชีวิตที่ลูกอย่างเขาทำได้ และมีโอกาสได้ทำ

พ่อแม่ของจ๊อดให้อิสระกับลูกชายเสมอ ให้เขาได้เรียนรู้ด้วยตนเอง โดยเฉพาะแม่ที่เปิดโอกาสให้เขางัดเอาตัวตนของเขาออกมาให้มากที่สุด ชายหนุ่มจึงเติบโตมาอย่างคนที่มีความเชื่อมั่นในตนเอง ทางบ้านส่งเขามาเรียนอาชีวะที่กรุงเทพฯ เขาเริ่มกลายเป็นเด็กเกเร ขอเงินพ่อเดือนละสองหมื่นก็ไม่เคยพอ เพราะเอาเงินไปเสพยาไอซ์ หนักขึ้นก็เริ่มขาย จนภายหลังพ่อไม่มีเงินส่งเรียน เพราะพ่อเล่นการพนันจนล้มละลาย

“ตอนผมเรียนอาชีวะ ผมทะเลาะวิวาท ตีกันกับต่างสถาบันเกือบทุกวัน หนักเข้าก็ยิงกัน แค่ตาสบตากันก็มีเรื่องกันแล้ว มันคะนอง สนุกอย่างเดียว ไม่คิดถึงอะไรมากหรอก”

แล้วเส้นทางที่เป็นจุดหักเหก็เกิดขึ้นเมื่อเพื่อนคนบ้านเดียวกันมาขออาศัยอยู่ด้วย เพื่อนชอบเอาชื่อของจ๊อดไปแอบอ้างหลายหนหลายคราว ล้วนแล้วเป็นเรื่องไม่ดีไม่งาม จนเจ้าตัวถูกมองเสียๆ หายๆ จ๊อดทั้งโกรธทั้งแค้น บันดาลโทสะจนต้องโทรศัพท์ไปบอกกับพ่อของเพื่อนตรงๆ ว่าขืนทำอย่างนี้อีกเขาจะไม่เอาไว้แน่ ทำให้ฝ่ายเพื่อนจะมายิงตน ด้วยความกลัวทำให้จ๊อดตัดสินใจยิงอีกฝ่าย ดีที่เพื่อนไม่ตายและหลักฐานไม่เพียงพอ เรื่องจึงเงียบหายไป

ชีวิตจ๊อดก้าวถึงจุดเปลี่ยน เขากลายเป็นคนเถื่อน รับจ้างคุมตลาด ส่งยา จนเริ่มเข้าสู่ยุทธจักรของการฆ่าคน มีการจ้างวานเขาไปฆ่าผู้หญิงคนหนึ่งที่เป็นชู้กับสามีคนอื่น

ก่อนหน้านี้ชายหนุ่มเสพยาไอซ์หนัก ทำให้เกิดอาการหลอน ฟุ้งซ่าน เป็นยาที่เขาไปขนมาเพื่อขาย

“ผมไม่เคยเห็นค่าของเงินหรอก เราคิดว่ามันเป็นของตาย เสพยาวันละเป็นหมื่น จนแยกความจริงกับภาพหลอนไม่ออกแล้ว มันอันตรายกับเรา เลยตัดสินใจหักดิบ เลิกยาดีกว่า ขนาดไม่เสพแล้วยังมีผลกระทบต่อร่างกายเราเป็นปี ตอนหลังมีคนจ้างผมไปยิงผู้หญิงคนหนึ่งที่ไปเป็นชู้กับผัวเขา ผมมองว่าผู้หญิงที่มีชู้เป็นคนไม่ดี แต่พอเวลาผ่านไปเราก็ได้พบว่าเราไม่มีสิทธิ์ไปตัดสินชีวิตใคร”

อาจเป็นบุญกุศลติดตัวที่เคยมีมา ทำให้ชายหนุ่มคิดได้อย่างไม่น่าเชื่อ

“ชีวิตเขาที่โดนผมฆ่าไปแล้วทำให้ผมได้คิด ผมถือว่าชีวิตผมเปลี่ยนได้เพราะเขา เหมือนเขาเป็นครูในชีวิตที่สอนผม ไม่งั้นผมจะถลำไปไกลยิ่งกว่านี้ ไม่สามารถมองเห็นแสงสว่างใดได้อีกแล้ว ผมบอกตัวเองว่าผมต้องเจียมตัวแล้ว ระหว่างคิดได้กับคิดไม่ได้มันก็จะมีช่วงที่สลับกัน เหมือนสองคนแข่งกัน ถ้าเขาไม่แพ้ เราก็ไม่ชนะ ผมไม่มีทางที่จะล้างบาปที่ทำกับเขาได้แม้แต่นิดเดียว แต่ผมจะเอาจุดนี้มาทำความเข้าใจตัวเอง เพื่อจะก้าวเดินต่อไป เรื่องนี้เหมือนหนังสือของตัวผมเอง ผมต้องคอยอ่านตลอดเวลา เพราะผมเข้าใจถึงความรู้สึกที่ละเอียดอ่อนด้วยตัวเอง”

จุดที่ทำให้จ๊อดได้รู้คิด คือการอ่านชีวิตของตนเอง และสนใจการปฏิบัติสมาธิ เจ้าตัวบอกว่าสมาธิเหมือนถ่านที่เข้ามาชาร์จพลังใจในร่างกาย บ่อยครั้งที่นั่งสมาธิได้เป็น ๑๐ ชั่วโมง แต่กลับรู้สึกเหมือนเวลาผ่านไปแค่พริบตาเดียว ปีติชุ่มใจจนความเมื่อยเหนื่อยหายเป็นปลิดทิ้ง

จ๊อดผู้คิดได้ตัดสินใจมอบตัว เขาบอกกับตำรวจว่าเขาเป็นคนยิงผู้ตาย คดีนี้เขาถูกตัดสินจำคุกตลอดชีวิต อีกคดีหนึ่งก่อนหน้านี้ถูกตัดสินข้อหาพยายามฆ่า โทษ ๒๙ ปี ถึงวันนี้เจ้าตัวใช้ชีวิตอยู่ในเรือนจำมาได้ ๕ ปีกว่าแล้ว เขาบอกว่าไม่เสียใจที่เข้ามอบตัว มันจรรโลงใจด้วยซ้ำที่ตนคิดได้ ลูกผู้ชายเมื่อกล้าทำก็ต้องกล้ารับ

“๕ ปีในคุกผมว่ามันดีนะ ยามหนีเป็นวันแห่งนรก ๑ อาทิตย์ผมอยู่แต่ในห้อง ไม่ได้ไปไหน นั่งอยู่กับเทียนเล่มหนึ่ง ตอนนั้นทำตัวเหมือนฤาษีแล้ว ตอนหนีสองวันได้กินข้าวมื้อหนึ่ง แต่อยู่ในคุกได้กินข้าววันละสามมื้อ ในคุกนี่ปฏิบัติได้ง่ายที่สุดแล้ว เหล้ายาก็ไม่มี เขาตีกรอบให้เราอยู่ ติดคุกไม่กี่เดือน แฟนไปมีคนใหม่ ตอนนั้นผมก็ใจสบายแล้ว”

จ๊อดตัดสินใจมาเรียนปั้นพระกับ โครงการปั้นดินให้เป็นบุญ รุ่นที่ ๓ เขาบอกว่าการปั้นพระเป็นเรื่องยากมาก นี่คือกุศโลบายธรรมะหลายหัวข้อที่เขาได้สัมผัส ได้เรียนรู้ด้วยตนเองด้วยใจที่ปีติ อิ่มเอมในขณะได้เรียนรู้การปั้น

“เมื่อก่อนจิตใต้สำนึกของเรามันบั่นทอนชีวิต เราไม่เห็นค่าตัวเอง เพราะถ้าเราเห็นค่า เราจะไม่เอาชีวิตเข้าแลกกับยา และไปฆ่าคนหรอก ความเป็นกันเองที่อาจารย์สอนปั้นพระทุกคนให้กับเรา อาจารย์ชี้ให้รู้ว่าเราสามารถทำอะไรได้บ้าง ทำให้เราเห็นว่าเราสามารถเลือกทางเดินที่ดีๆ ได้อีกมาก จากที่เคยรู้สึกด้อยค่า อาจารย์ทุกคนทำให้เราภูมิใจในตัวเองได้ รู้สึกตัวเองมีค่า มีเกียรติ การปั้นพระต้องออกมาจากข้างใน ใจเราต้องนิ่ง เราต้องมีความเมตตา ไม่คิดเรื่องอกุศล ต้องมีจิตที่ไม่หยาบกระด้าง เพราะการปั้นพระคือการปั้นใจเราไปด้วยในขณะเดียวกัน”

จ๊อดบอกว่าความหยาบกร้าวสร้างได้แค่ก้อนหินหยาบๆ ก้อนหนึ่งเท่านั้น ความนิ่ง ความแยบคาย ความละเอียดอ่อนประณีต และความเป็นอิสระภายในจากการปั้นพระพุทธรูป ค่อยโน้มใจตนเองให้คล้อยมาในหนทางที่ดีที่งาม จึงไม่แปลกที่ขณะปั้น ใจของจ๊อดจะมีสมาธิ มีความปีติ จนบางครั้งเขาถามตนเองว่าทำไมใจจึงอิ่มได้เช่นนี้

“ตอนนี้ผมอยู่ในเรือนจำด้วยความสบายใจ แรกๆ อาจรู้สึกเหมือนเราไม่มีบ้าน แต่ตอนนี้เรามีบ้านในใจของตนเองแล้ว คล้ายว่าเราได้มีช่วงเวลาที่ได้นึกถึงครอบครัวในภาพที่ดีๆ อิ่มสุขได้จากภายในโดยไม่ต้องอิงอาศัยสิ่งอื่นๆ”

นั่นคือความเติบโตที่เด็กหนุ่มคนหนึ่งได้รู้คิดจากบทเรียนและความผิดพลาดของตน

องคุลีมาลปี ๒๕๖๑ ผู้มีผิวสีและเสียงออกทองแดงตามถิ่นเกิดยิ้มเห็นฟันขาว ก่อนจะหันไปขัดแต่งพระพุทธรูปองค์เล็กตรงหน้า นึกถึงภาพที่จะได้มอบพระพุทธรูปจากมือของตนสู่มือของพ่อในวันสิ้นเดือนที่จะถึง…อีกไม่กี่วันแล้วที่จะได้กราบแทบเท้าพ่อในวันนั้น พ่อจะดีใจสักแค่ไหนที่ได้รับพุทธปฏิมาจากลูกชายคนนี้อย่างที่พ่อไม่นึกไม่ฝันว่าเขาจะทำได้

ที่สำคัญ เขารู้ว่าพ่อคงภูมิใจที่ลูกชายได้แปรหนทางบาปเป็นหนทางบุญได้สำเร็จแล้ว อย่างน้อยก็ในชั่วขณะนี้

และเขารอจะเห็นรอยยิ้มของพ่อในวันนั้น…

 

บทความและภาพโดย: อรสม สุทธิสาคร

นักเขียนสารคดีอิสระ

 

podcast

LATEST
OUR PICKS
HOT
กำลังโหลดบทความถัดไป...

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้ และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณเพื่อเราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมกับความสนใจของคุณ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมเราจะไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาและโฆษณาได้ไม่ตรงกับความสนใจของคุณ
    รายละเอียดคุกกี้

บันทึกการตั้งค่า