
นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์
ประเด็นคือ – “องอาจ” ยินดีคนในรัฐบาลเคลื่อนไหวตั้งพรรคหนุนนายกฯ ฝากใช้เวลาบริหารประเทศมากกว่าบริหารอนาคตของตนเอง และพวกพ้อง มองยุทธศาสตร์สืบทอดอำนาจ
วันที่ 8 เม.ย. 2561 นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่มีการเคลื่อนไหวจัดตั้งพรรคการเมืองเพื่อสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช. กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้งว่า ยินดีต้อนรับพรรคการเมืองที่กำลังจัดตั้งเพื่อหนุนให้นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช. กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรี เพราะจะทำให้ประชาชนมีทางเลือกในการเลือกตั้งมากยิ่งขึ้น มองเป็นเรื่องที่ดี รองนายกฯ สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ และลูกน้องบริวารจะจัดการตั้งพรรคให้นายกฯ เข้าสู่ถนนการเมืองตามครรลองของการปกครองในระบอบประชาธิปไตย และท่านนายกฯ ก็จะได้เข้าใจการเมืองมากขึ้น ท่านนายกฯ จะได้เข้าใจว่าทุกวงการมีทั้งคนดี และคนไม่ดี ในแวดวงการเมืองก็มีทั้งนักการเมืองที่ดี ตั้งใจทำงานเพื่อประโยชน์ของประชาชนและส่วนรวม และมีนักการเมืองที่ไม่ดีที่อาศัยการเมือง อาศัยประชาธิปไตยเป็นเครื่องมือเพื่อเข้าสู่อำนาจแล้วใช้อำนาจเพื่อประโยชน์ของตนเอง และพวกพ้องท่านนายกฯ จะได้ไม่ด่ากราดนักการเมืองว่าไม่ดี ไปทั้งหมดเหมือนที่ผ่านมา

นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี
อย่างไรก็ดีการเคลื่อนไหวตั้งพรรคการเมืองสนับสนุนให้ พล.อ.ประยุทธ์ กลับมาเป็นนายกฯ อีกครั้งไม่ใช่เรื่องใหม่ เป็นเพียงขั้นตอนหนึ่งของยุทธศาสตร์สืบทอดอำนาจที่ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง เริ่มต้นจากทำรัฐธรรมนูญที่มีนายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ เป็นประธาน เมื่อไม่ได้ดั่งใจก็เปลี่ยนใจให้นายมีชัย ฤชุพันธ์ มาเป็นประธาน ทำรัฐธรรมนูญแถมคำถามพ่วง จากนั้นก็ทำกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ 10 ฉบับ โดยเฉพาะกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้ง 4 ฉบับ ก็มีผลบังคับใช้เพียง 2 ฉบับ คือกฎหมายพรรคการเมือง และกฎหมาย กกต. ส่วนกฎหมายเลือกตั้ง ส.ส. และกฎหมายว่าด้วยการได้มาซึ่ง ส.ว. ก็ยังยื้อเวลาสร้างเงื่อนไขให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความว่าขัดกับรัฐธรรมนูญหรือไม่
ขณะที่กฎหมายพรรคการเมืองออกมามีผลบังคับใช้ตั้งแต่ต้นเดือนตุลา คม 2560 ก็ยังใช้ไม่ได้ เพราะติดล็อคคำสั่ง คสช. เท่านั้นยังไม่พอ ยังใช้มาตรา 44 ออกคำสั่ง คสช. ที่ 53 / 2560 มาปรับเปลี่ยนกฎหมายพรรคการเมืองทำให้สร้างปัญหาในทางปฏิบัติ และมีความย้อนแย้งกันอยู่หลายส่วน การดำเนินการในช่วงที่ผ่านมา ผ่านกลไกแม่น้ำ 5 สาย และอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดผ่าน ม. 44 ออกคำสั่ง คสช. มากมายก็ล้วนแล้วแต่เป็นไปตามยุทธศาสตร์สืบทอดอำนาจรวมถึงการเคลื่อนไหวจัดตั้งพรรคการเมืองของคนในรัฐบาลเพื่อให้พลเอกประยุทธ์ กลับมาเป็นนายกฯอีกครั้งก็ล้วนแล้วแต่เป็นไปตามยุทธศาสตร์สืบทอดอำนาจเช่นกัน
นายองอาจ กล่าวว่า นายกฯในฐานะหัวหน้า คสช. ใช้อำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดบริหารดูแลประเทศมาแล้วเกือบ 4 ปี และมีการเคลื่อนไหวของคนในรัฐบาลสนับสนุนให้ท่านเป็นนายกฯต่อไป จึงอยากให้ท่านใช้เวลาที่เหลืออีกเป็นปีจนกว่าจะมีรัฐบาลใหม่จากการเลือกตั้ง ทำงานแก้ไขปัญหาของประชาชนที่กำลังทุกข์ทนอย่างมากอยู่ขณะนี้ คือ
1. แก้ไขปัญหาเศรษฐกิจปากท้องของประชาชนให้ลืมตาปากได้ ไม่ให้เศรษฐกิจฝืดเคืองเหมือนเป็นอยู่ในขณะนี้
2.แก้ไขปัญหาราคาพืชผลการเกษตรตกต่ำ ไม่ว่าจะเป็น ยางพารา ปาล์ม และ พืชผลทาง เกษตรอื่นๆอีกหลายรายการ
3. เลิกอุ้มคนรวยหันมาช่วยคนจนเพิ่มมากขึ้น เพื่อความอยู่ดีกินดีของประชาชนส่วนมากของประเทศที่อยู่ในฐานะยากไร้
ขอฝากให้ท่านนายกฯใช้เวลาที่เหลืออยู่บริหารประเทศมากกว่าบริหารอนาคตของตนเอง และพวกพ้องซึ่งจะทำให้เกิดประโยชน์สุขต่อประชาชนและสังคมไทยอย่างมั่นคงมั่งคั่งยังยืนต่อไป