“อุตตม” เผยพร้อมเป็นฝ่ายค้านถ้าไม่ชนะเลือกตั้ง

“อุตตม” บอกกับทีมข่าวเวิร์คพอยท์ว่าพรรคพลังประชารัฐพร้อมเป็นฝ่ายค้าน แต่เป้าหมายสูงสุดของพรรคคือจัดตั้งรัฐบาลและยืนยันว่าพลเอกประยุทธ์ จันทรโอชาเหมาะกับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในการเลือกตั้งที่จะถึงนี้ที่สุด

วันที่ 6 ก.พ. อุตตม สาวนายน หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐเปิดเผยกับทีมข่าวเวิร์คพอยท์เรื่องอนาคตของพรรคพลังประชารัฐหลังการเลือกตั้ง โดยกล่าวว่าพร้อมจะเป็นฝ่ายค้านหากแพ้การเลือกตั้ง แต่ทั้งนี้มีเป้าหมายสูงสุดของพรรคคือการเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล แต่หากไม่ได้จำนวนที่นั่งส.ส.มากเป็นอันดับ 1 ก็ต้องดูก่อนว่าพรรคไหนมาเป็นอันดับแรก ๆ เพื่อดูความสอดคล้องของอุดมการณ์และนโยบาย

หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐกล่าวว่า “พร้อม(เป็นฝ่ายค้าน) เพราะเราเป็นพรรคถาวร ก็ต้องรับเสียงของประชาชนที่ลงคะแนน” และเมื่อถามต่อว่าจะกลับไปทำหน้าที่บริหารธุรกิจหรือทำงานภาคเอกชนหรือไม่ ดร.อุตตมกล่าวว่าเป็นเรื่องของอนาคตไม่มีใครตอบได้ แต่ความตั้งใจตอนนี้คือรับได้เลยถ้าเป็นฝ่ายค้าน ถ้าพรรคให้ทำงานต่อ ตนก็จะทำงานต่อ

นอกจากนี้ยังกล่าวว่าเป้าหมายหลักของพรรคก็คือต้องการที่นั่งส.ส.มากพอที่จะเป็นแกนจัดตั้งรัฐบาล หากไม่ได้ที่นั่งมากเป็นอันดับหนึ่งก็ต้องพิจารณาก่อนว่าจะร่วมมือกับพรรคใดบ้าง

“ยังไม่ถึงเวลาพูด ก็ต้องรอดูจริง ๆ ว่าคะแนนออกมาเป็นยังไง เงื่อนไขเป็นยังไง ต้องดูตั้งแต่ต้นเลยว่าอุดมการณ์ไปด้วยกันได้ไหม นโยบายรับกันได้ไหม เพราะเราเสนออะไรเราก็ต้องยืนสิ่งที่เราเสนอ ไม่ใช่ว่าเขามีนโยบายที่เราไม่เห็นด้วยแล้วต้องกล้ำกลืน นั่นไม่ใช่พรรคพลังประชารัฐ” เมื่อถามว่า หากมีพรรคที่ร่วมมือกันได้แต่ต้องการผลักดันคนอื่นที่ไม่ใช่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชาให้เป็นนายกรัฐมนตรี จะร่วมมือไหม ดร.อุตตมเผยว่า “ตัวบุคคลสำคัญแน่นอน ต้องมาคุยกันว่าถ้าทำงานร่วมกันแล้วใครจะอยู่ตำแหน่งไหน รอให้ถึงเวลานั้น ผมเชื่อว่าพรรคการเมืองจะมีแนวทางที่คุยกัน คงไม่มีใครอยากจำกัดชัดเจนในเวลานี้เพราะมันเป็นไปไม่ได้”

เมื่อกล่าวถึงแคนดิเดทนายก หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐยืนยันว่าพลเอกประยุทธ์เหมาะที่สุดในเวลานี้แล้ว

“พรรคเรามีแนวทางอยู่แล้ว เราอาสาเข้ามาทำงานแก้ปัญหาสั่งสมที่พี่น้องประชาชนเผชิญอยู่นานแล้วแต่ไม่ได้แก้เสียที ไม่ว่าจะเป็นความแตกแยกทางการเมือง หรือปัญหาทางเศรษฐกิจและสังคม ทำอย่างไรให้มั่นใจได้ว่าคนไทยจะก้าวทันโลกในสมัยที่เทคโนโลยีกำลังเปลี่ยนโลก จากโจทย์นี้พรรคพลังประชารัฐจึงมาดู 3 เรื่อง หนึ่งนโยบาย สองตัวบุคคล ได้แก่ผู้สมัครของเราทั้งหลาย องคาพยพที่เรามีทั้งหมดจะเอามาผสมผสานเพื่อตอบโจทย์ได้อย่างไร และ สามก็คือผู้นำ เราต้องการผู้นำแบบไหนที่นำเสนอต่อประชาชน คำตอบก็คือท่านพลเอกประยุทธ์ เราเชื่อว่าเป็นผู้นำที่พร้อมและท่านเหมาะสมที่สุดในสถานการณ์ปัจจุบัน ที่บ้านเมืองกำลังต้องก้าวข้ามความขัดแย้งทั้งหลายทั้งปวง จะแก้ไขปัญหาที่หมักหมมอยู่ ประชาชนคนไทยต้องมีความสงบสุขอย่างแท้จริง เราเชื่อว่าท่านเหมาะ ด้วยภาวะผู้นำ ประสบการณ์ และเวลา”

ทั้งนี้ตนไม่หวั่นต่อกระแสลบของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชาว่าจะมีผลต่อพรรคพลังประชารัฐ โดยยืนยันว่าพรรคเน้นดูภาพรวมทั้ง 3 องค์ประกอบตามที่ได้กล่าวไป แต่ตัวผู้นำก็สำคัญและกฎเปิดโอกาสให้เสนอได้ถึง 3 ชื่อ จึงไม่ได้เสนอชื่อให้หัวหน้าพรรคเป็นแคนดิเดทนายกเพียงคนเดียว และไม่ได้เป็นหุ่นเชิดแต่อย่างใด

“ให้กลับไปดูประเด็นแรกเลยว่าพรรคพลังประชารัฐเกิดมาอย่างไร เมื่อ 3 เดือนกว่าที่แล้วพรรคเราเกิดเพราะพวกเราที่อุดมการณ์ตรงกัน ต้องการที่จะเข้ามาทำงานในจุดหักเหสำคัญของประเทศไทย คนไทยกำลังต้องการเลือกอนาคต ผมคิดว่าถ้าเรารวมพลังกันจากคนหลายภาคส่วนเข้ามาอาสาทำงานตรงนี้ก็จะเป็นเวลาที่เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบันอย่างยิ่ง” “ดูคนในพรรคก่อนว่ามีใครส่อการสืบทอดรัฐบาลนี้ต่อไป ไม่มีนะครับ จะสีอะไรก็ตาม แนวทางการทำงานของเราเป็นอย่างไร เรื่องของแนวนโยบายเป็นอย่างไร ไม่มีอะไรเลยที่สะท้อนเรื่องการสืบอำนาจของคสช.อย่างที่เขาพูดกัน”

ในการเลือกตั้งครั้งนี้พรรคพลังประชารัฐส่งส.ส.แบบเขตลงสมัครทั้งหมด 350 เขต และส.ส.แบบบัญชีรายชื่ออีกร้อยกว่าคนแต่ไม่ครบ 150 คน โดยหวังว่าจะได้ที่นั่งส.ส.เฉพาะในกรุงเทพมหานคร 10 คน และที่นั่งส.ส.จากทั่วประเทศมากกว่าหนึ่งร้อยคนขึ้นไป