ประเด็นคือ – รองปลัดกระทรวงยุติธรรม กระตุก เจ้าหน้าที่ กระบวนยุติธรรมล่าช้า จนป้าทุบรถต้องจัดการปัญหาด้วยตนเอง ด้าน ผอ.เขตประเวศ เรียก เจ้าของตลาด 5 แห่งจัดระเบียบ
วันนี้ (22 ก.พ.61) นายธนะสิทธิ์ เมธพันธ์เมือง ผู้อำนวยการเขตประเวศ เรียกเจ้าของตลาด ที่อยู่โดยรอบ สวนหลวง ร.9 เข้าหารือ เพื่อหาแนวทางจัดระเบียบที่จอดรถให้กับลูกค้าเพื่อไม่ให้เกิดประวัติศาสตร์ซ้ำรอย กรณี น.ส.บุญศรี แสงหยกตระการ ที่ต้องทุบรถคู่กรณีที่จอดกีดขวางทางเข้าออกของบ้าน
นายธนะสิทธิ์ กล่าวเมื่อวันที่ 21 ก.พ. ว่า แนวทางเบื้องต้น เพื่อบรรเทาผลกระทบจากปัญหาตลาดดังกล่าวได้หารือเจ้าของตลาดให้จัดเจ้าหน้าที่ตลาดมาอำนวยความสะดวกให้ลูกค้านำรถไปจอดบริเวณที่จัดไว้พร้อมทั้งขอความร่วมมือให้บริการจอดรถฟรี โดยมีเพียงตลาดรุ่งวาณิชย์ ที่ยังคงเก็บค่าจอดรถอยู่ แต่ลดลงจาก 50 บาท เหลือเพียง 20 บาท โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 21 ก.พ. เป็นต้นไป
นอกจากนี้จะหาพื้นที่จอดรถเพิ่มเติมให้เพียงพอ ลดการใช้เสียง รวมทั้งการทำความสะอาดซึ่งได้รับความร่วมมือจากเจ้าของตลาดเป็นอย่างดี ส่วนบริเวณหน้าบ้าน น.ส.บุญศรี ที่เกิดเหตุ ทางสำนักงานเขตได้จัดเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเข้าไปดูแลเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุลักษณะดังกล่าว
นอกจากนี้ สำนักงานเขตประเวศ ได้ออกคำสั่งให้ตลาดรุ่งวาณิชย์ ตลาดร่มเหลือง และตลาดสวนหลวง หยุดดำเนินการ 7 วัน (21-27 ก.พ.61) เนื่องจาก ตลาดทั้ง 3 แห่ง ไม่ได้ขออนุญาตประกอบการตลาด ส่วน ตลาดเปิ้ลมาร์เก็ต และ ตลาดยิ่งนรา การใช้อาคารผิดประเภท โดยมีการขออนุญาตเป็นการพาณิชย์ แต่แอบมีดำเนินการในลักษณะตลาดโดยขายอาหารสดและของชำก็จะต้องให้ยกเลิกในส่วนที่ดำเนินการผิดภายในวันที่ 27 ก.พ.นี้ หากแก้ไขเสร็จสิ้นจะเริ่มให้ตลาดเปิดได้ตั้งแต่วันที่ 28 ก.พ.เป็นต้นไป ส่วนที่มีการตั้งเต็นท์ขายของที่ไม่ถูกต้อง จะรื้อออกให้หมดและร่วมกับ ตำรวจจราจรสน.ประเวศดูแลไม่ให้มีรถจอดเกะกะขีดขวางและในจุดห้ามจอดต่างๆ

(แฟ้มภาพ)
ด้าน นายธวัชชัย ไทยเขียว รองปลัดกระทรวงยุติธรรม โพสต์เฟซบุ๊กแสดงความเห็นกรณี “ป้าทุบรถ” โดยสรุปว่า กระบวนการยุติธรรมล่าช้า จนผู้เสียหายต้องลุกขึ้นมา จัดการปัญหาด้วยตนเอง ทั้งที่ผิดกฎหมาย
“ดั่งเช่นกรณีคุณป้าทบรถปิดทางเข้าออกบ้าน ก่อให้เกิดผลกระทบตั้งแต่กระบวนการยุติธรรมที่ล่าช้า เจ้าหน้าที่ที่บังคับใช้กฎหมาย และเป็นสร้างค่านิยมใหม่เรื่องจอดรถปิดทางเข้าออกบ้านคนอื่น เป็นต้น
แต่ถ้าไม่ถูกผลิตซ้ำ ก็จะจางหายไป ไม่สามารถพัฒนาไปสู่ค่านิยมและบรรทัดฐานในสังคมได้ ซึ่งก็คงไปรอให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำคงไม่ได้ และอาจเกิดค่านิยมและบรรทัดฐานใหม่ว่าจะจัดการปัญหาเรื่องใดๆ ไม่สามารถรอให้รัฐเข้ามาจัดการได้ ต้องลุกขึ้นมาจัดการด้วยตนเอง ซึ่งหากพัฒนาไปไกลถึงขั้นตอนนี้ ไม่อยากจะคิดว่าบ้านเมืองจะวุ่นวายไปขนาดไหน
เจ้าหน้าที่ที่มีหน้าที่ทุกภาคส่วน โดยเฉพาะผู้มีหน้าที่บังคับใช้กฎหมาย และผู้มีอำนาจแห่งรัฐต้องออกมาทำอย่างจริงจัง เพราะประชาชนทุกคนเป็นนายจ้างเรา และพวกเราทุกคนเป็นขี้ข้าประชาชน …”
https://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=10210239176953875&id=1173747960
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง