หลังมีครูกลุ่มหนึ่ง ประกาศปฏิญญามหาสารคามขอพักชำระหนี้ ช.พ.ค. จนทำให้หลายฝ่ายแสดงความกังวล เพราะการไม่ชำระหนี้ ตามกฎหมายนั้นจะกลายเป็น “บุคคลล้มละลาย” มีวิธีที่จะทำให้ไม่ต้องเข้าสู่วงจร “ไม่มี ไม่หนี ไม่จ่าย” ได้อย่างไร
เมื่อเป็นหนี้แล้ว จะเป็นหนี้อย่างเป็นสุขได้อย่างไร ? ศูนย์คุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย หรือ ธปท. แนะนำลูกหนี้ ไม่เฉพาะแค่ “ครู” ไว้ดังนั้น
- ทำความเข้าใจก่อนลงนามในสัญญา เช่น ระยะเวลาที่ให้กู้ มีกำหนดวันชำระเงิน และความถี่ในการชำระเงิน
- ใช้เงินตามวัตถุประสงค์ คือ ใช้เงินตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งใจไว้ และไม่ควรแบ่งเงินไปใช้ทำอย่างอื่น เพราะอาจทำให้ไม่มีเงินพอที่จะทำสิ่งที่ตั้งใจและมีประโยชน์กว่า รวมทั้งอาจทำให้มีรายได้ไม่พอไปชำระหนี้ตามที่ประมาณการไว้แต่เดิมด้วย
- ตรวจสอบความถูกต้องของรายการต่างๆ ทุกครั้ง
- จ่ายเงินตรงเวลา และตามเงื่อนไข
- ชำระหนี้เมื่อมีเงินก้อน
- แจ้งเจ้าหนี้หากเปลี่ยนแปลงข้อมูล
- หลีกเลี่ยงการชำระเงินแค่ขั้นต่ำ
ส่วนความเคลื่อนไหว หลังธนาคารออมสิน ออกหนังสือเวียนถึงสาขาทั่วประเทศ เมื่อ 18 ก.ค.ที่ผ่านมา เร่งรัดการฟ้องคดีลูกหนี้สินเชื่อครู และบุคลากรทางการศึกษา ที่ไม่เข้าร่วมมาตรการผ่อนปรนเงื่อนไขการชำระหนี้ ภายในเดือนสิงหาคมนี้

ชาติชาย พยุหนาวีชัย ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน (แฟ้มภาพ)
นายชาติชาย พยุหนาวีชัย ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า ปัจจุบันธนาคาออมสินคิดอัตราดอกเบี้ยโครงการ ช.พ.ค. ต่ำมาก เพียง5-6 % ต่อปี และผ่อนชำระนานสูงสุดถึง 30 ปี ขณะที่สินเชื่อบุคคลทั่วไปในระบบสถาบันการเงินที่ไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน คิดอัตราดอกเบี้ยอยู่ที่ 15-28 %ต่อปี และปัจจุบันมีผู้กู้เข้ามาปรับโครงสร้างหนี้แล้วกว่า 40,000 ราย จากยอดสินเชื่อของโครงการ ช.พ.ค. ที่มีผู้กู้รวม 4.33 แสนราย คิดเป็นวงเงินกู้ 4.06 แสนล้านบาท
“ธนาคารออมสินยืนยันว่า อยากให้ครูที่มีปัญหาการผ่อนชำระไม่ว่าจะอยู่ในขั้นตอนใด ขอให้เข้ามาแจ้งความประสงค์ เพราะธนาคารมีมาตรการให้ความช่วยเหลือครูที่ยืดหยุ่นผ่อนคลาย ด้วยการให้ครูมีคุณภาพชีวิตที่ดี มีวินัยทางการเงิน เพราะครูต้องทำหน้าที่ให้ความรู้ สร้างคนให้เป็นคนดีมีวินัยให้แก่ประเทศชาติต่อไป” ผอ.ธนาคารออมสิน ระบุ

นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รมช.ศึกษาธิการ (แฟ้มภาพ)
นายแพทย์ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวว่า จากการหารือกับธนาคารออมสิน พบว่า ทางธนาคารไม่ได้มีเจตนาที่จะไปไล่บี้ฟ้องร้องครู เนื่องจาก กลุ่มที่เป็นหนี้ค้างชำระแล้วไม่เข้าร่วมมาตรการผ่อนปรนเงื่อนไขการชำระหนี้ หรือไม่ติดต่อชำระหนี้กับธนาคาร มีเพียงกว่า 4,000 คนเท่านั้น ไม่ถึงร้อยละ 1 ของกลุ่มครูทั้งหมด ธนาคารออมสินชี้แจงด้วยว่า การที่ต้องเรียกครูกลุ่มนี้มา เป็นการดำเนินการตามกฎหมายเท่านั้น และจุดประสงค์หลัก คือต้องการให้ครูกลุ่มนี้เข้ามาปรับโครงสร้างหนี้

(ภาพจาก Thaigov.)
ในรายการศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน เมื่อวันที่ 20 ก.ค. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวตอนหนึ่งถึงหนี้สินครูว่า นอกจากโครงการคลินิกแก้หนี้ จะช่วยบรรเทาปัญหาภาระหนี้ของประชาชนทั่วไป รัฐบาลยังพยายามช่วยแก้ปัญหาหนี้ของผู้ประกอบวิชาชีพต่างๆ อาทิ หนี้ในกลุ่มครู ที่เป็นบุคลากรที่มีความสำคัญต่อการพัฒนาประเทศ และการปฏิรูปการศึกษาเพื่อจะลดความกังวล และภาระในการดำรงชีวิตที่สามารถทำหน้าที่การเป็นแม่พิมพ์ที่ดีของเด็กได้เต็มศักยภาพ เนื่องจากที่ผ่านมา พบมีครูเป็นหนี้ทั้งในและนอกระบบ และมีมูลค่าหนี้อยู่ในระดับสูง
โดยส่วนหนึ่งเป็นหนี้ของ โครงการสวัสดิการเงินกู้สมาชิกฌาปนกิจสงเคราะห์ช่วยเพื่อครูและบุคลากรทางการศึกษา (ช.พ.ค.) ที่มีผู้กู้อยู่กว่า 5 แสนราย คิดเป็นเงินกว่า 4 แสนล้านบาท โดยเป็นหนี้เสียมากกว่า 5,000 ล้านบาท
ช่วงที่ผ่านมา รัฐบาลพยายามใช้มาตรการเข้ามาช่วยเหลือ และแบ่งเบาภาระให้กับแม่พิมพ์ของชาติที่มีหนี้อย่างต่อเนื่อง อาทิ โครงการลดภาระหนี้ที่เริ่มตั้งแต่ปี 2559 โดยการให้เงินกู้อัตราดอกเบี้ยต่ำ ร้อยละ 4 เพื่อนำไปชำระหนี้โครงการ ช.พ.ค. เดิม และเพื่อนำไปชำระดอกเบี้ยเงินกู้รายเดือน แต่ยังมีผู้มาร่วมโครงการไม่มากนัก
นอกจากนี้ ในปี 2560 ที่ผ่านมาก็มีโครงการปรับโครงสร้างหนี้ ให้โอกาสลูกหนี้ที่มีปัญหาผ่อนชำระ จนกลายเป็นหนี้เสีย สามารถผ่อนปรนเงื่อนไขการชำระหนี้ แล้วก็พักชำระเงินไม่เกิน 3 ปี แต่ยังชำระดอกเบี้ยบางส่วน หรือเต็มจำนวน เพื่อให้สามารถกลับมาเป็นหนี้ปกติได้
ล่าสุด สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา ได้ให้ธนาคารออมสินนำเงินสนับสนุนที่เคยได้รับจากโครงการ ช.พ.ค. ไปช่วยลดอัตราดอกเบี้ย ให้แก่ผู้กู้ที่มีวินัยดี ไม่มีหนี้ค้างชำระ ทำให้อัตราดอกเบี้ยลดลงจากเดิม ร้อยละ 0.5-1.0 คิดเป็นเงินประมาณ 2,500 ล้านบาท
โครงการคลินิกแก้หนี้และมาตรการแก้ไขหนี้ต่างๆ ที่รัฐบาลนี้ได้ริเริ่มขึ้น เป็นเพียงการพยายามแบ่งเบาภาระ และช่วยเหลือประชาชนที่ปลายเหตุเท่านั้น ด้วยการช่วยเข้าไปผ่อนผันให้สามารถชำระหนี้ได้ตามความสามารถ โดยไม่ได้รับความเดือดร้อนจนเกินไป ดังนั้นการแก้ปัญหาการก่อหนี้ที่เกินตัวที่ต้นเหตุจะเป็นวิธีที่ดีที่สุด ที่จะไม่ส่งผลเสียอื่นๆลุกลามเป็นลูกโซ่ ก็คือ การพยายามไม่เข้าสู่วรจรการเป็นหนี้ โดยต้องเริ่มจากตัวเราทุกคนเอง
ขอบคุณภาพ ธนาคารออมสิน / Thaigov
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
- ธ.ออมสิน ออกหนังสือเวียนเร่งรัดฟ้องครูชักดาบหนี้ ภายในส.ค.นี้
- นายกฯ ปรามครูเบี้ยวหนี้-เปิดข้อกม.ชักดาบถึงขั้นออกจากราชการ
อ่านข่าวอื่นได้ที่
เว็บไซต์ : workpointnews.com
เฟซบุ๊ก: ข่าวเวิร์คพอยท์ ตลาดข่าว
ยูทูบ: workpoint news
ทวิตเตอร์: workpoint news
อินสตาแกรม: workpointnews