อดีตรัฐมนตรีพลังงานและคณะทำงานเศรษฐกิจ พรรคไทยรักษาชาติ เสนอ 4 แนวทางแก้ปัญหาฝุ่น PM 2.5 ส่งเสริมประชาชนใช้รถยนต์ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นภายใน 10 ปี พร้อมห่วงเศรษฐกิจประเทศยิ่งทรุด หากการเมืองสืบทอดอำนาจ
นายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ในฐานะคณะทำงานเศรษฐกิจ พรรคไทยรักษาชาติ (ทษช) เสนอ 4 แนวทางแก้ปัญหาฝุ่น PM 2.5 คือ
1) ส่งเสริมและจูงใจให้มีการใช้รถยนต์ไฟฟ้าในกรุงเทพฯ ให้ถึงจำนวน 50% ภายใน 10 ปี ซึ่งทิศทางรถยนต์ของโลกก็จะเป็นรถยนต์ไฟฟ้าอยู่แล้ว และเมืองใหญ่ๆในโลกก็ใช้แนวทางนี้ อีกทั้ง การส่งเสริมการใช้รถยนต์ไฟฟ้าจะช่วยพัฒนาอุตสาหกรรมผลิตรถยนต์ในไทยที่ต้องเปลี่ยนเป็นการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าตามกระแสโลกด้วย
2) ไม่เพิ่มการผลิตไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าถ่านหิน และเมื่อโรงไฟฟ้าถ่านหินหมดอายุก็ไม่สร้างเพิ่ม ซึ่งเป็นทิศทางของโลกที่ลดการผลิตไฟฟ้าจากถ่านหินเพราะก่อเกิดมลภาวะ อีกทั้งส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนเช่น พลังลม และ พลังแสงอาทิตย์ ที่มีราคาลดลงเรื่อยๆ และ จะถูกราคาไฟฟ้าที่ผลิตจากถ่านหินในไม่ช้า
3) ควบคุมการก่อสร้างในภาคเอกชน และ ในภาครัฐ ให้ป้องกันการกระจายของฝุ่นอย่างเข้มงวด โดยมีการบทลงโทษปรับที่รุนแรงหากฝ่าฝืน
4) ตรวจสอบโรงงานต่าง ๆ รอบกรุงเทพและปริมณฑล หากโรงงานไหนทำให้เกิดฝุ่นจำนวนมากต้องสั่งปิดและโยกย้าย
นายพิชัย ยังกล่าวเพิ่มเติมว่า เศรษฐกิจของในไตรมาสสุดท้ายของปีที่แล้วตลอดจนมาถึงปีนี้ มีทิศทางที่ย่ำแย่ ขนาดเวิร์ลแบงค์ยังลดประมาณการการเติบโตเศรษฐกิจไทยในปีนี้เหลือเพียง 3.8% ซึ่งตรงกับที่เคยบอกไว้แล้วว่า เศรษฐกิจไทยในปี 2562 นี้จะกลับมาโตต่ำอีกและไม่น่าจะโตถึง 4% ได้ ทั้งนี้ยังต้องดูผลของการเลือกตั้ง ซึ่งปัจจุบันแม้กระทั่งวันเลือกตั้งยังไม่มีการกำหนดวันที่แน่นอน ยิ่งทำให้ความเชื่อมั่นของประเทศไทยลดลงมาก และหากผลของการเลือกตั้งออกมาเป็นความพยายามที่จะสืบทอดอำนาจโดยสวนทางกับความต้องการที่แท้จริงของประชาชนส่วนใหญ่ เศรษฐกิจไทยจะยิ่งทรุดต่ำลงอีก ประชาชนจะยิ่งลำบาก
ดังนั้นจึงอยากให้มีการกำหนดวันเลือกตั้งให้แน่นอนโดยเร็วและจัดการเลือกตั้งให้เสรีและยุติธรรมและไม่เอาเปรียบ ทั้งนี้เข้าใจความรู้สึก นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ต้องการจะลาออกจากตำแหน่ง เพราะคงจะละอายจากกระแสสังคมที่ไม่เห็นด้วยและถูกตำหนิทุกวัน อีกทั้งรัฐมนตรีหลายคนยังมีปัญหาการถือหุ้นสัมปทานและยังไม่ลาออกยิ่งทำให้ภาพพจน์รัฐบาลเสื่อมลงไปอีก