เล็งคุมรถใหญ่เข้าพื้นที่ชั้นใน กทม. หากฝุ่นละอองยังมีปริมาณสูงขึ้น

อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ ชี้แนวโน้มฝุ่นละอองในกรุงเทพฯ สูงขึ้น เล็งคุมรถใหญ่ไม่ให้เข้าพื้นที่ชั้นใน เพราะเป็นสาเหตุทำให้รถติดก่อให้เกิดมลพิษ รวมทั้งตรวจจับคุมเข้มรถปล่อยควันดำ

ทีมข่าวเวิร์คพอยท์ ได้พูดคุยกับนายประลอง ดำรงค์ไทย อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ โดยเปิดเผยว่าสถานการณ์ฝุ่นละออง PM 2.5 ล่าสุดเริ่มสูงขึ้นเกินค่ามาตรฐาน 90 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร อยู่ที่ 103-200 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ในหลายเขตทั่ว กทม. อาทิ พญาไท ดินแดง ลาดพร้าว มีนบุรี บางขุนเทียน พระราม 2 เป็นต้น

ท่านอธิบดีฯ กล่าวว่าฝุ่นละออง PM 2.5 มีขนาดเล็กกว่าปลายเส้นผม 1 ใน 10 ซึ่งมีผลกระทบต่อระบบทางเดินหายใจ

ประลอง ดำรงค์ไทย อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ

สำหรับปัจจัยหลักที่ก่อให้เกิดฝุ่นละออง คือรถเครื่องยนต์ดีเซล รถที่มีอายุการใช้งานมานาน การเผาไหม้ไม่สมบูรณ์ ควันดำ (แบล็กคาร์บอน) มีปริมาณมาก รวมทั้งการเผาไหม้ในพื้นที่โล่งจากเกษตรกร ในพื้นที่รอบๆ ปริมณฑลกรุงเทพ ซึ่งขณะนี้ได้ประสานไปยังท้องถิ่นให้ทำความเข้าใจกับเกษตรกร สาเหตุนี้คิดเป็นร้อยละ 35 รวมไปถึงจากแหล่งโรงงานอุตสาหกรรม

เมื่อรู้ว่าสาเหตุหลักมาจากยานพาหนะ ขณะนี้ทางกรมฯ ได้ร่วมกับ กทม., บก.จร, กรมขนส่ง, กระทรวงคมนาคม, กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้ประชุมหาแนวทางการแก้ไขปัญหาฝุ่นละออง โดย บก.จร ได้ตรวจจับคุมเข้มรถที่ปล่อยควันดำ หากตรวจจับเจอจะมีการติดสติ๊กเกอร์และห้ามนำรถไปใช้ จนกว่าจะมีการแก้ไขและตรวจสภาพให้เรียบร้อย

หากค่ามาตรฐานยังสูงต่อไปเรื่อยๆ ติดต่อกันหลายวัน ก็จะดำเนินการเข้มงวดการนำรถใหญ่เข้ามาในพื้นที่ชั้นใน กทม. เพราะเป็นสาเหตุที่ทำให้รถชะลอตัว

ส่วนปัจจัยรองที่ไม่สามารถควบคุมได้ คือสภาพอากาศในช่วงนี้ ที่ได้รับอิทธิพลจากจีน ทำให้สภาพท้องฟ้าปิด ฝุ่นละอองไม่สามารถลอยผ่านชั้นบรรยากาศไปได้ ขณะที่สาเหตุปัจจัยที่อาจไม่เกี่ยวข้องโดยตรง แต่มีส่วนเช่นกัน คือการก่อสร้างรถไฟฟ้า ทำให้การจราจรติดขัด

ทั้งนี้ ค่า PM 2.5 จะไม่ส่งผลกระทบต่อประชาชนที่สุขภาพร่างกายแข็งแรง แต่ถ้าหากผู้ที่เจ็บป่วย หรือเด็กก็อาจจะส่งผลกระทบต่อระบบทางเดินหายใจได้ โดยวิธีป้องกันคือการสวมใส่หน้ากากอนามัย n95 ซึ่งสามารถคัดกรองปริมาณฝุ่นที่มีขนาดเล็กได้เป็นอย่างดี แต่ถ้าหน้ากากอนามัยธรรมดา ไม่สามารถที่จะกรองฝุ่นละอองขนาดเล็กได้