SHARE

คัดลอกแล้ว

2 ชั่วโมงโดยประมาณ จากนครหลวงของแดนซากุระและภูเขาไฟ ยอดหิมะที่รู้จักกันว่า ‘ฟูจิ’ อากาศเย็นที่สำหรับคนในประเทศไร้หิมะอย่างไทยคงเรียกได้ว่า หนาว เดือนสุดท้ายของปี ที่นักท่องเที่ยวจำนวนมาก เดินทางมายังเกาะญี่ปุ่นเพื่อเยี่ยมชมกลิ่นอายวัฒนธรรมที่ยังคงหยั่งรากลึก แต่แตกต่างโดยสิ้นเชิงทั้งภาษา ภูมิอากาศ อาหาร และสถานที่ท่องเที่ยว

ผ่านมา 5 บรรทัดถ้าไม่เริ่มเข้าเรื่องสักที ก็ดูเหมือนจะกลายเป็นบทความรีวิวประเทศญี่ปุ่นไป แต่ด้วยข้อความข้างต้นก็คงจะจริง กับการที่หลายคนไปเยือนประเทศนี้เพื่อสัมผัสความต่าง แต่การไปเยือนครั้งนี้ของเรากลับรู้สึกว่าชะตากรรมของชาวบ้านในเมืองริมน้ำ ไม่ต่างอะไรจากพี่น้องในหลายพื้นที่ของไทยที่กำลังต่อสู้เพื่ออนาคตของลูกหลาน และอากาศที่สะอาดมากพอสำหรับ ‘การหายใจ

อย่างที่บอก 2 ชั่วโมงหลังจากเปลี่ยนรถโดยสารมา 3 ต่อ จากกลางเมืองโตเกียว ก็ถึงเมืองริมอ่าวโตเกียว ที่เคยมีคนประกอบอาชีพประมงเต็มหมู่บ้าน และชนบทที่เคยขึ้นชื่อเรื่องสาหร่าย ก่อนที่เมืองจะขยาย พร้อมกับวิถีดังเดิมที่เริ่มจางหายไปแล้ว ‘Yokosuka’ (โยโกสุกะ)

‘No War’ 2 คำสั้นๆ ที่อยู่บนเข็มกลัดสีม่วง กับ นก 1 ตัวและดอกไม้ 3 ดอก บนเสื้อของผู้หญิงสูงวัย หนึ่งในชาวบ้านจากเมืองโยโกสุกะ ที่เราจะได้พูดคุยในวันนี้ สะดุดตาของฉันมาก ในใจพลางคิดไปว่า ด้วยท่าทางที่น่ารัก รอยยิ้มที่เป็นมิตร และเข็มกลัดนี้ ทำไมทำให้ฉันสัมผัสได้ถึงหัวใจที่ยิ่งใหญ่แบบแปลกๆ ก่อนที่คำพูดแรกจากปากของเธอจะทำให้ฉันเข้าใจว่าทำไมเข็มกลัดนี้จึงดูเหมาะกับเธอและเรื่องราวในวันนี้ที่สุด

“มันน่าละอาย ที่ญี่ปุ่นมีความพยามยามทำโรงไฟฟ้านิวเคลียร์และถ่านหินพร้อมๆ กัน ชาวบ้านอย่างเรา อยากให้รัฐบาลเปลี่ยนการตัดสินใจในเรื่องพลังงานให้เป็นธรรมมากขึ้น”

ไม่รู้ว่าเป็นความโชคดี หรือโชคร้าย ที่โยโกสุกะถูกเลือกให้เป็นที่ตั้งของโรงไฟฟ้าถ่านหินแห่งใหม่ที่สุดของญี่ปุ่น ท่ามกลางที่ชาวบ้านในโยโกสุกะเองก็สงสัยว่าหลายประเทศในโลกกำลังพูดถึง การยกเลิกผลิตไฟฟ้าจากถ่านหิน และญี่ปุ่นก็เป็นประเทศพัฒนาแล้วประเทศเดียวในกลุ่ม G7 ที่ไม่มีเป้าว่าจะยกเลิกการใช้ถ่านหินเมื่อไร

“หลังจากอุบัติเหตุฟุกุชิมะ ตอนนั้นไฟฟ้าในญี่ปุ่นขาด รัฐก็ให้เอกชนทำแผนมาผลิตไฟฟ้า ทั้งหมด 50 โรง ตรงนี้ก็เป็นหนึ่งในนั้น และด้วยระยะเวลาอันสั้น ทำให้ EIA ไม่ต้องละเอียดและผ่านง่าย” หนึ่งในชาวบ้านที่เจอกันครั้งแรกด้วยด้วยรอยยิ้ม จนเดาไม่ออกในแว๊บแรกว่าในใจพวกเขากำลังหนักอึ้งไปด้วยเรื่องราวอะไร เล่า

ศาลขั้นต้นแพ้ ศาลอุธรณ์ก็แพ้ และปีที่ผ่านมาศาลสูงสุดก็เพิ่งพิจารณา ว่าโรงไฟฟ้านี้ไม่ผิดหรือขัดต่อรัฐธรรมนูญ การฟ้องร้องครั้งล่าสุดเลยไม่ถูกดำเนินการในขั้นต่อไป หลังการฟ้องมา 20 ครั้ง สิ่งที่ทำได้มากสุดในทุกวันนี้คือ การนัดกันประท้วงกันทุกเดือนหน้าโรงงาน และทุกศุกร์ที่สถานีรถไฟ 2 แห่ง สลับกันไปมาตั้งแต่เด็กเยาวชน นักวิชาการ ผู้สูงอายุ ครั้งละ 20 – 30 คน

“ที่ญี่ปุ่นไม่มีศาลปกครอง แต่ประชาชนสามารถฟ้องหน่วยงานรัฐได้ แต่ ไม่เคยมีเคสไหนที่ประชาชนฟ้องชนะรัฐชนะเลย”

ทุกคนในโยโกสุกะเริ่มรู้จักโครงการนี้ เริ่มต้นในช่วงปี 2016 “โครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังความร้อนโยโกสุกะ” คาบสมุทรมิอูระ คูริฮามะ เมืองโยโกสุกะ จังหวัดคานางาวะ ของบริษัท JERA กำลังการผลิตอยู่ที่ 650,000 กิโลวัตต์ กำลังสร้างแทนที่โรงไฟฟ้าพลังงานปิโตรเลียมที่สร้างขึ้นเมื่อปี 1960 

“โรงไฟฟ้าเดิมสร้างเมื่อปี 1960 กว่าๆ ตอนนั้นในประเทศญี่ปุ่น ไม่มีกฎหมายหรือกฎเกณฑ์ให้โรงไฟฟ้าห่างจากชุมชน โรงไฟฟ้าก็เลยใกล้ชุมชนมาก พอมาตอนนี้ก็เอาถ่านหินมาและสร้างโรงไฟฟ้าใหม่ บนพื้นที่เดียวกัน”

ถ้าความรู้สึกแปลออกมาเป็นคำพูดได้ ประโยคเดียวกันที่น่าจะได้จากชาวบ้านหลายคนในวันนี้ ก็น่าจะเป็น ‘พวกเราไม่ไว้ใจ EIA’

“EIA ไม่มีการศึกษาอย่างจริงจัง ตัวอย่าง  ในรายงานน่าจะต้องมีการเปรียบเทียบผลกระทบของเชื้อเพลิงไม่ว่าจะเป็นก๊าซธรรมชาติ หรือถ่านหิน แต่ก็ไม่มีการศึกษา”

ไม่ใช่เพียงความรวดเร็วทันใจที่โครงการนี้เหมือนได้ตั๋ว VVIP จนผ่านได้อย่างฉลุย แต่มาตรฐานของรายงานที่ชึ้นชื่อว่า ศึกษาผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมนั้นไม่ได้ทำให้ชาวบ้านในเมืองริมอ่าวโตเกียวนี้มั่นใจได้ว่า โรงไฟฟ้านี้ปลอดภัยมากพอที่จะดำเนินการอยู่ใกล้กับชุมชน

“กระทรวงสิ่งแวดล้อมบอกว่าจากมาตรฐาน (EIA) นี้ผ่านแล้ว แต่มาตรฐานนี้จะทำให้ชุมชนมีสุขภาพดีหรือเปล่าอันนี้ก็ยังเป็นคำถาม” 

ในขณะที่ฉันแอบทึ่งในใจหลังรับรู้ว่า ญี่ปุ่นมี EIA หรือการประเมินผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม หลังไทยเสียอีก คุณป้าผู้หญิงเจ้าของเข็มกลัดคนเดิมก็พูดขึ้นอีกครั้ง ถึงแม้เธอจะย้ายมาอยู่ในเมืองนี้ทีหลัง แต่ก็เป็นช่วงก่อนที่จะเปลี่ยนมาเป็นโรงไฟฟ้าถ่านหินล่าสุด “สมัยนั้นตอนที่เริ่มผลิตไฟใช้น้ำมัน ชาวบ้านแถวนี้ก็ดีใจ เพราะบริษัทรณรงค์ว่า ที่นี่จะเป็นอันดับที่ 1 ของเอเชีย ของดีมาแล้ว ชาวบ้านให้การสนับสนุนมาก ถึงขนาดที่เวลาเด็กไปทัศนศึกษาก็จะไปโรงไฟฟ้านี้ โรงไฟฟ้าทำให้คนเชื่อว่า สิ่งที่เข้ามาในชุมชนเป็นของดี เป็นสิ่งที่ดี แต่อีกด้านหนึ่ง ก็เกิดโรคหอบ”

ชื่อท้องถิ่น 鈴木陸郎 ‘โรคหอบคูริฮามะ’ ที่ถึงจะไม่ชัดเจน แต่ชาวบ้านเชื่อว่า ก็น่าจะเป็นเพราะโรงไฟฟ้าแห่งนี้ ตั้งแต่อดีตที่ปั่นไฟจากเชื้อเพลิงน้ำมันและตอนนี้ก็แค่เปลี่ยนมาเป็นถ่านหิน

“โรงเก่าไม่มีเครื่องกรอง” ผู้ชายคนหนึ่งพูดขึ้น

เป็นเรื่องที่ดูจะสุดขั้วกันมาก กับประเทศที่ขึ้นชื่อว่ามีคนอายุยืนที่สุดประเทศหนึ่งของโลก (โทมิโกะ อิโตโอกะ คนที่อายุยืนที่สุดของโลก อายุ 116 ปี ตอนนี้ที่ยังมีชีวิตก็อยู่) แต่อีกมุมหนึ่งกลับมีเรื่องราวของคนที่ต้องจากไปก่อนวัยอันควรเช่นเดียวกัน

[ฉันเป็นหนึ่งในผู้ฟ้องคดี ชื่อของฉันคือ ริคุโระ ซูซูกิ]

“ปี 1967  ผมเริ่มทำงานในโยโกสุกะ ต่อมาก็ย้ายมาอยู่ที่นี่ตั้งแต่ปี 1998 กับหลานชาย หลานชายของผมไปอยู่ที่โตเกียวช่วงเรียนมหาวิทยาลัย แต่เพียงแค่ 4 ปี เขากลายเป็นหนึ่งในผู้ป่วยที่ได้รับการรับรองอย่างเป็นทางการ ว่าป่วยด้วยโรคที่เกี่ยวข้องกับมลพิษในโตเกียว” 

ริคุโระ ซูซูกิ ประธานกลุ่มที่ต่อต้านโรงไฟฟ้าถ่านหินที่โยโกสุกะ แชร์เรื่องเล่าชีวิตของตัวเองผ่านคำแถลงการณ์ ที่ทีมงานจาก Melong Watch เตรียมให้นักข่าวทุกคนเป็นภาษาอังกฤษ ฉันไม่แปลกใจเลยว่าทำไมการต่อสู้เพื่ออากาศที่ดี ถึงไม่มีสิ้นสุดสักที ในยามที่เขาก้าวเข้าสู่วัย 85 ปีแล้ว

“ปี 1975 เขาเรียนจบแล้วกลับมาชนบท อาการของเขาไม่ค่อยดี เข้าออกโรงพยาบาลตลอดเวลา ต้องผ่าตัดคอและใส่เครื่องช่วยหายใจเทียม และครั้งสุดท้ายที่เขาเข้าโรงพยาบาล คือเมื่อสามปีที่แล้ว”

หลายชายจากไปก่อนปู่ ในวัย 62 ปี คงเป็นเรื่องที่เจ็บปวดมาก ถ้ารู้ว่าใครคนหนึ่งสามารถมีอายุยืนยาวได้มากกว่านี้ ขอเพียงแค่มีอากาศที่ดีในการหายใจ

นับจากวัยรุ่นที่หมอวินิจฉัยว่าหลานของเขาเป็นภูมิแพ้มลพิษโตเกียว และกลับมาอยู่ที่โยโกสุกะก็เป็นช่วงเวลานานแล้วพอสมควร แต่ก็ไม่นานมากพอ เมื่อเทียบกับอายุขัยเฉลี่ยของคนในประเทศ

“เขามีอาการชักอย่างรุนแรง และร่างกายของเขาอ่อนแอลงจากการต่อสู้กับโรคนี้เป็นเวลานาน จนไม่สามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ หลังจากนั้นเขาก็เสีย  ทั้งๆ ที่รู้ว่า ไม่มีใครมีชีวิตอยู่ได้ตลอดไป แต่ผมก็ทนเห็นความเจ็บปวดของพี่ชายและภรรยาของเขาที่ต้องสูญเสียลูกไปไม่ได้”

ถึงไม่ได้เกิดขึ้นกับลูกในไส้ของตัวเอง แต่คงเป็นเรื่องที่เจ็บปวดมากถ้าเราต้องมองลูกหลานตัวเองตายไปโดยที่ไม่ทำอะไรเลย ทำให้หลังจากนั้น เมื่อคุณริคุโระ ซูซูกิ ได้รู้ข้อมูลเกี่ยวกับโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินโยโกสุกะ ก็ไม่มีวันไหนเลยที่เขาไม่ลุกขึ้นมาคัดค้านต่อเรื่องนี้

ฉันเองอาจไม่ได้เข้าใจความรู้สึกของชาวบ้านที่ออกมาเรียกร้อง หรือแม้แต่ความรู้สึกของคุณ ริคุโระ ทั้งหมด แต่ถ้าลองคิดดูว่า ฉันที่มีหลานชายตัวเล็กๆ ที่รักมากๆ แล้วต้องจากไป ในขณะที่ สาเหตุของการตายของเขา ฉันยังต้องเห็นทุกวัน ฉันคงไม่สามารถเข้มแข็งได้เท่าคุณ ริคุโระ เพราะมันคงไม่สมเหตุสมผลเท่าไรที่เพียงแค่การหายใจก็ทำให้ป่วย 

ในประเทศไทยเริ่มมีการพูดถึงในประเด็นเดียวกันนี้มากขึ้น นับตั้งแต่ #สู้ดิวะ ของหมอกฤตไท ธนสมบัติกุล ที่ป่วยเป็นมะเร็งปอด ทั้งๆ ที่ทุกอย่างในชีวิตไม่คิดว่าจะทำให้เขาเข้าใกล้กับคำว่า มะเร็งได้

เช่นเดียวกับเรื่องราวของ ดร.ระวิวรรณ โอฬารรัตน์มณี หรือ ‘อาจารย์ต้อม’ คณบดีคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (มช.) ที่จากไปในปีที่ผ่านมา ในวัย 55 ปี จากโรคมะเร็งปอดระยะ 4 ที่แพทย์วินิจฉัยว่า “เกิดจากยีนกลายพันธุ์ที่เป็นผลจาก PM 2.5”

ทุกครั้งที่เกิดประเด็น PM2.5 เกินค่ามาตรฐานในประเทศไทย คนก็มักโฟกัสไปที่หลากหลายสาเหตุไม่ว่าจะการเผา ฝุ่นควันรถยนต์ ที่ทำให้รัฐบาลถึงขั้นจ่ายเงิน 140 ล้านบาทให้คนใช้รถโดยสารฟรี แต่ผลลัพท์ก็คือ กรุงเทพก็ยังมีฝุ่นสูง เลยทำให้ฉันคิดว่าเราลืมบางสาเหตุที่ปล่อยมลพิษอากาศมากไม่แพ้กันไปหรือเปล่า บางอย่างที่คนไม่ค่อยนึกถึงและรัฐบาลไม่เคยแตะถึงสักที อย่างภาคโรงงานและอุตสาหกรรม

เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ธารา บัวคำศรี ผู้อำนวยการกรีนพีซประเทศไทย ได้ออกมาโพตส์ผ่านโซเชียลมีเดียส่วนตัวว่า “เมื่อเกิดวิกฤตฝุ่น PM2.5 ในกรุงเทพฯ เรามักจะพุ่งเป้าไปที่รถยนต์เป็นหลัก แต่แหล่งกำเนิดของฝุ่นพิษ PM2.5 ไม่ใช่แค่นั้น พื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑลมีแหล่งกำเนิดฝุ่นและคาร์บอนไดออกไซด์ขนาดใหญ่ คือโรงไฟฟ้าก๊าซฟอสซิลโรงกลั่นน้ำมันที่มีกำลังผลิตสูงมาก ซึ่งปล่อยฝุ่นมากกว่ารถยนต์หลายเท่า

พร้อมกับแนบข้อมูลจากรายงาน EIA ที่เผยว่า โรงไฟฟ้าพระนครใต้ กำลังผลิตรวม 1,930 เมกะวัตต์ และมีแผนจะขยายเพิ่มรวมทั้งสิ้นเป็น 4,519.4 เมกะวัตต์ในปี 2569-2570 ซึ่งเมื่อเสร็จสมบูรณ์แล้วจะปล่อยฝุ่นละอองสู่บรรยากาศวันละกว่า 4.6 ตัน และปล่อยออกไซด์ของไนโตรเจน (NOx) มากกว่า 6.4 ตันต่อวัน

โพสต์นี้ถูกแชร์ไปมากกว่า 1,400 ครั้ง ลึกๆ ฉันรู้สึกดีใจที่สังคมเกิดการถกเถียงประเด็นนี้มากขึ้น และเมื่อผู้คนที่ได้ผ่านมาอ่านบทความนี้จะสามารถเข้าใจเรื่องราวที่เกิดขึ้นในโยโกสุกะและรับรู้ถึงความรู้สึกของคุณลุง ริคุโระ ได้บ้าง

ไม่เห็นโรงศพไม่หลั่งน้ำตา’ ฉันไม่อยากใช้ประโยคนี้ซ้ำเติมคนธรมดา โดยเฉพาะกับคนที่สูญเสีย ฉันคิดว่ามันเหมาะสม กับความพยายามที่น้อยเกินไปของทุกรัฐบาล ที่ปล่อยให้ประชาชนตัวเองเผชิญกับฝุ่นพิษ จนต้องมีชีวิตที่สั้นลง

และฉันคงทำอะไรไปได้ไม่มากกว่าการหวังว่าในสัปดาห์ที่ค่าฝุ่นดีขึ้น เรื่องราวเหล่านี้จะยังคงเสียงดังอยู่ ไม่มีตัวเลขการเสียชีวิตก่อนวัยอันควรเพิ่มขึ้น และหวังว่าในชีวิตหนึ่งของทุกคนจะพบเจอกันสันติภาพ และชีวิตที่มีคุณค่ามากกว่าการต่อสู้ เพื่อความเป็นธรรมทางสิ่งแวดล้อม

อ้างอิง

 

podcast

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้ และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณเพื่อเราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมกับความสนใจของคุณ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมเราจะไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาและโฆษณาได้ไม่ตรงกับความสนใจของคุณ
    รายละเอียดคุกกี้

บันทึกการตั้งค่า