หลังจากที่นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ เดินทางไป สน.ปทุมวัน เพื่อรับทราบข้อกล่าวหาที่ฝ่ายกฎหมาย คสช. แจ้งความ จากการมีส่วนพานักกิจกรรมที่จัดการชุมนุมครบรอบ 1 ปีรัฐประหาร ตั้งแต่ปี 2558 หลบหนี ต่อมาพนักงานสอบสวน แจ้งข้อกล่าวหา 3 ข้อหา คือ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 116 ยุยงปลุกปั่น , มาตรา 189 ให้ความช่วยเหลือพาผู้ต้องหาหลบหนี และ มาตรา 215 มั่วสุมชุมนุมเกิน 5 คน
วันที่ 6 เม.ย. โครงการอินเทอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน (ไอลอว์-iLaw) ได้โพสต์ในเฟซบุ๊กถึงคดีนี้ว่า ฝ่ายกฎหมายของ คสช.ที่เป็นผู้แจ้งความ เกิดความสับสนแจ้งความผิด สน.และคดีต้องยกฟ้องในที่สุด
โดยสรุปประเด็นสำคัญ คือ คดีการเคลื่อนไหวของกลุ่มนักกิจกรรมขบวนการประชาธิปไตยใหม่ ในช่วงที่ คสช.ควบคุมอำนาจ เกิดขึ้นในหลายพื้นที่ เช่น สน.สำราญราษฎร์ สน.ปทุมวัน และที่ขอนแก่น
นายธนาธร เข้าไปเกี่ยวข้องจากการเหตุการณ์เมื่อวันที่ 24 มิ.ย. 2558 ในช่วงที่มีการชุมนุมหน้า สน.ปทุมวัน ช่วงที่แยกย้ายกลับบ้านโดยสงบ นักกิจกรรมที่มีหมายเรียกติดตัวหลายคนแยกย้ายกันกลับไปเข้าที่พักโดยรถหลายคัน หนึ่งในนั้นเป็นรถของธนาธรที่มาช่วยพานักกิจกรรมไปเข้าที่พักด้วย
อย่างไรก็ตาม ภายหลังเมื่อคำสั่ง คสช.ที่ห้ามการชุมนุมทางการเมืองตั้งแต่ห้าคนขึ้นยกเลิก คดีที่เกี่ยวข้องจึงถูกยกเลิกทั้งหมด
ดังนั้น ไอลอว์ สรุปว่า หากจะดำเนินคดีนายธนาธร ในฐานะเป็น “ตัวการร่วม” หรือผู้ร่วมก่อการกับกลุ่มนักกิจกรรมที่ชุมนุมต่อต้าน คสช. หลือคดีที่ยังไม่จบที่สามารถโยงเข้าไปได้อยู่คดีเดียว คือ คดีจากการชุมนุมที่ถนนราชดำเนิน เมื่อวันที่ 25 มิ.ย. 2558 และเป็นคดีเดียวที่มีข้อหา มาตรา 116 อยู่ด้วย
อย่างไรก็ตามหากจะดำเนินคดีจากเหตุการณ์นี้ พื้นที่รับผิดชอบจะไม่ใช่ สน.ปทุมวัน ตามที่มีหมายเรียก แต่ต้องเป็น สน. สำราญราษฎร์ ที่เกิดเหตุ หรือ สน.ประเวศ ที่เป็นท้องที่ทีนายธนาธร มีภูมิลำเนาอยู่
“การสั่งฟ้องหรือไม่ฟ้องคดีที่ดำเนินไปโดยตำรวจจาก สน. อื่น ต้องถือว่า ดำเนินการไปโดยไม่มีอำนาจทำได้ตามกฎหมาย ในทางกฎหมายมีผลเท่ากับไม่มีการดำเนินการเหล่านั้นเกิดขึ้น และเมื่อคดีขึ้นสู่ศาล ศาลต้องสั่งยกฟ้องเนื่องจากคดีไม่มีการสอบสวนโดยชอบด้วยกฎหมายมาก่อน”
ไอลอว์ ยังตั้งข้อสังเกตด้วยว่า พ.อ.บุรินทร์ ทองประไพ ฝ่ายกฎหมายของ คสช. อาจจำเหตุการณ์สับสนกับคดีก่อนหน้านี้ที่เกิดขึ้นและจบไปแล้ว เพราะเป็นผู้แจ้งความดำเนินคดีด้วยเช่นกัน โดยเห็นว่า นายธนาธรรับนักกิจกรรมจากหน้า สน.ปทุมวัน จึงตัดสินเข้าแจ้งความที่ สน.ปทุมวัน โดยลืมไปว่า คดีที่ยังเหลืออยู่ให้ยกมากล่าวหาได้ เหลือเพียงคดีที่อยู่ในอำนาจของ สน.สำราญราษฎร์เท่านั้น