ศาลฎีกาคำพิพากษายืนจำคุก 2 ปี ไม่รอลงอาญา ร.ต.ท.เชาวรินธร์ และให้คืนเงินแก่ บจก.บี.พี.ซีฯ ด้วยตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
วันที่ 10 ก.ค. 2562 ศาลฎีกานัดพิพากษาคดีที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 10 และ บริษัท บี.พี.ซี เทรดดิ้ง จำกัด (ประเทศกัมพูชา) ร่วมกันเป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง ร.ต.ท.เชาวรินธร์ ลัทธศักดิ์ศิริ อายุ 73 ปี อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ และอดีต ส.ส.พรรคเพื่อไทย เป็นจำเลย ในความผิดฐานร่วมกันฉ้อโกงซึ่งผลของคำพิพากษาคดีถือว่าถึงที่สุดตามขั้นตอนกฎหมาย คดีนี้ยื่นฟ้องเมื่อวันที่ 27 ก.พ. 2558
โจทก์บรรยายฟ้องว่า เมื่อวันที่ 5 พ.ค.57 บจก.บี.พี.ซี.ฯ ประเทศกัมพูชา ได้สั่งซื้อสินค้าจำพวกปูนซิเมนต์ จากบริษัท ทีพีไอโพลีนพับบลิค จำกัด (ประเทศไทย) โดยทำใบสั่งซื้อส่งเป็นข้อมูลคอมพิวเตอร์ในลักษณะอีเมล (E-Mail) และ บจก.ทีพีไอโพลีนฯ ได้ออกหลักฐานเป็นใบเก็บเงินค่าสินค้า แจ้งให้ บจก.บี.พี.ซี.ฯ โอนเงินค่าสินค้าจำนวน 352,781 ดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นเงินไทย 11,428,308.40 บาท ผ่านบัญชีเงินฝาก ธ.ทหารไทยฯ ของ บจก.ทีพีไอโพลีนฯ
แต่ระหว่างวันที่ 6 – 9 พ.ค. 2557 จำเลยกับพวกอีกหลายคนที่ยังไม่ได้ตัวมาฟ้อง ร่วมกันเข้าไปเปลี่ยนแปลงข้อมูลใบเก็บเงินค่าสินค้าเสียใหม่ เป็นว่า ให้ บจก.บี.พี.ซี.ฯ โอนเงินค่าซื้อปูนซิเมนต์ จำนวน 11,428,308.40 บาท ผ่านเข้าบัญชีเงินฝาก ธ.กรุงไทย สาขารัฐสภา ชื่อ Thai and Chinese Bhuddhist Culture (สมาคมวัฒนธรรมวิถีพุทธไทย-จีน) ที่มีจำเลยเป็นนายกสมาคมฯ โดยทุจริต เป็นการนำข้อมูลเท็จเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ จนทำให้ บจก. บี.พี.ซี.ฯ หลงเชื่อว่า เป็นบัญชีของ บจก. ทีพีไอโพลีนฯ ผู้เสียหายที่ 2 จนมีการโอนเงินเข้าบัญชีดังกล่าวที่เป็นของจำเลยกับพวก แล้วต่อมาจำเลยได้โอนเงินเข้าบัญชีของตัวเอง เหตุเกิดขึ้นที่แขวง-เขตดุสิต
เมื่อวันที่ 27 ก.ย. 2559 ศาลชั้นต้น มีคำพิพากษาให้จำคุก 1 ปี 6 เดือน ในความผิดยักยอกทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญาฯ มาตรา 352 วรรคสอง โดยเห็นว่า การกระทำของจำเลยยังไม่ครบองค์ประกอบความผิดฐานฉ้อโกง แต่พฤติการณ์ที่จำเลยเบิกเงินกว่า 11 ล้านบาท จากบัญชีที่บริษัทกัมพูชา โจทก์ร่วมโอนผิด โดยไม่ยอมคืนเงิน แต่โอนเงินแยกบัญชีให้ตัวเอง และเจ้าหนี้แสดงให้เห็นเจตนาไม่สุจริต ซึ่งการกระทำนั้น เป็นความผิดฐานยักยอกทรัพย์ พร้อมให้จำเลยคืนเงินค่าชำระสินค้า 11,428,308.40 บาท แก่ บจก.บี.พี.ซีฯ โจทก์ร่วมด้วย ร.ต.ท.เชาวรินธร์ ได้ยื่นอุทธรณ์คดี โดยได้ประกันตัวไปในวงเงิน 1 ล้านบาท
ต่อมาได้มีการอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ เมื่อวันที่ 24 ม.ค.60 เห็นว่า การที่จำเลยดำเนินการแก้ไขนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งข้อมูลในส่วนของบัญชีธนาคารอันเป็นเท็จ จน บจก.บี.พี.ซี โอนเงินเข้าบัญชีดังกล่าวแล้ว วันรุ่งขี้นจำเลยได้เบิกถอนเงินออกไปจากบัญชีทั้งหมด โดยมีการโอนเงิน 10,742,600 บาท เข้าบัญชีเงินฝาก ธ.กรุงไทย สาขาสีลม ของบุคคลหนึ่ง โดยอ้างว่า เพื่อชำระหนี้เงินกู้ และค่าสั่งซื้อไวน์ 42,600 บาท กับโอนเงินส่วนที่เหลือเข้าบัญชีเงินฝากของจำเลย เป็นเงิน 685,708.40 บาท โดยอ้างว่าเพื่อใช้หนี้ที่จำเลยใช้เงินส่วนตัวสำรองจ่ายในการก่อสร้างรูปเคารพพระแม่โพธิสัตว์เจ้าแม่กวนอิมซึ่งเป็นการกระทำเพื่อประโยชน์ส่วนตัวของจำเลยแทบทั้งสิ้น และเป็นการกระทำโดยเร่งรีบย้ายเงินออกจากบัญชี ซึ่งผิดปกติวิสัยในการจัดการเงินบริจาค การกระทำของจำเลย จึงเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ ฯ และข้อหาฉ้อโกง ป.อาญา ตามมาตรา 341 ที่ศาลชั้นต้นยกฟ้องในข้อหานี้ แต่ลงโทษในข้อหายักยอกทรัพย์นั้นไม่เห็นพ้องด้วย
ศาลอุทธรณ์ จึงพิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14 (1) วรรคสอง ที่แก้ไขใหม่ ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 (เดิม) การกระทำของจำเลยเป็นความผิดกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ฯ ซึ่งเป็นกฎหมายที่มีโทษหนักสุด ให้จำคุก ร.ต.ท.เชาวรินธร์ 3 ปี แต่ทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ 1 ใน 3 จึงจำคุกจำเลย 2 ปี และให้คืนเงินแก่ บจก.บี.พี.ซีฯ ด้วยตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น