กระตุ้นเศรษฐกิจ แจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท กลยุทธ์โยกหนี้ (ไม่)ได้ผล?

เตรียมใจเตรียมตัวไว้ตั้งแต่ปีนี้ว่า เศรษฐกิจไทยปีหน้า 2568 ยาวถึงปี 2569 จะไม่สดใส ในภาพใหญ่ GDP จะลดลงต่อเนื่อง จากปัญหาขาดความสามารถด้านการแข่งขัน ท่องเที่ยวที่เคยเป็นตัวดึงเม็ดเงินเข้าประเทศเติบโตช้าลง

อีกจุดที่น่าห่วงคือ สินเชื่อแบงก์หดตัวหนักมากจนกระทบการบริโภคของประชาชน และที่หนีไม่พ้น ประเทศนี้เข้าสู่สังคมสูงวัย และสุดท้ายการแจกเงินดิจิทัลรอบใหม่ที่จะเกิดขึ้นอาจไม่ช่วยอะไร

นี่คือภาพรวมจาก KKP Research วิเคราะห์ไว้ส่งท้ายปี

เฉพาะในประเด็นแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาทในปี 2567 และที่จะแจกเฟส 2 และ 3 ในปีหน้า 2568 แม้จะคาดว่าจะเป็น ‘ปัจจัยบวก’ ช่วยพยุงให้เศรษฐกิจไทยพอขยายตัวต่อได้

แต่ KKP มองว่านโยบายนี้เป็นเหมือนการ ‘โยกหนี้’ จากภาคครัวเรือนมาสู่ภาครัฐ คือ รัฐเป็นผู้กู้เงินมาแจกประชาชนแทน ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่พบได้ในหลายประเทศ

สรุปรายละเอียดของไทย คือ

ระยะที่ 1 งบประมาณ 142,000 ล้านบาท (คิดเป็น 0.7% ของ GDP) ถูกใช้ในไตรมาสที่ 4 ปี 2567 ผ่านการแจกเงินสด 10,000 บาทให้กับกลุ่มเปราะบาง

อย่างไรก็ตาม ผลกระทบทางเศรษฐกิจกลับต่ํากว่าคาด เนื่องจากเงินส่วนใหญ่ถูกนําไปออมและชําระหนี้ ทําให้ผลกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวมมีจํากัด

ระยะที่ 2 รัฐบาลจัดสรรงบประมาณ 184,000 ล้านบาท (คิดเป็น 0.9% ของ GDP) ไว้เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในงบประมาณปี 2568 โดยประมาณ 60,000-80,000 ล้านบาท จะถูกแจกเป็นเงินสดให้กับ ผู้สูงอายุ 5-8 ล้านคนภายในเดือนมกราคมปีหน้า

ระยะที่ 3 หลังจากสองระยะแรก ยังเหลืองบประมาณราว 100,000 ล้านบาท ซึ่งจะนําไปแจกให้กับประชาชน 10 ล้านคนที่ลงทะเบียนในโครงการกระเป๋าเงินดิจิทัล โดยคาดว่าจะเริ่มดําเนินการในไตรมาสที่ 2 ปี 2568

แม้จะมีการแจกเงินสดรอบใหม่ KKP Research คาดว่า มาตรการนี้จะส่งผลค่อนข้างจํากัดต่อเศรษฐกิจโดยรวม เนื่องจากปัจจัยสําคัญอื่นๆ เช่น ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่ยังอ่อนแอ ภาวะสินเชื่อที่เข้มงวดจากธนาคาร และการฟื้นตัวของรายได้ที่ยังล่าช้า มีแนวโน้มรุนแรงขึ้น

ทำให้เห็นว่าผลกระทบต่อการบริโภคมีมากกว่าการแจกเงินสดเพียงครั้งเดียว

KKP สรุปคำแนะนำและความเป็นห่วงว่า หลังการแจกเงินกระตุ้นเศรษฐกิจ รัฐต้องปฏิรูประบบการคลัง เนื่องจากรายได้ของภาครัฐมีแนวโน้มชะลอตัวลงมาโดยตลอด

และระดับหนี้สาธารณะ หรือพูดง่ายๆ ‘หนี้ของรัฐบาล’ ต่อ GDP จะค่อยๆ สูงขึ้นจนแตะขอบบนที่ 70% ของ GDP