SHARE

คัดลอกแล้ว

สถานการณ์โรคโควิด-19 ในประเทศไทยผู้ป่วยครอบครัวเดียวปู่-ย่า และหลาน อยู่ในความดูแลของแพทย์กันอาการดีขึ้น สธ.ย้ำเดินทางไปประเทศเสี่ยงต้องไม่ปิดบังข้อมูล คาดอีก 2 สัปดาห์ประกาศราชกิจจานุเบกษาบังคับกฎหมาย ผู้ฝ่าฝืนจะมีโทษปรับ 20,000 บาท 

วันที่ 27 ก.พ.2563  นพ.ณรงค์ สายวงศ์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุขและโฆษกกระทรวงสาธารณสุข, นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน สาธารณสุขนิเทศก์และโฆษกกระทรวงสาธารณสุข, นพ.โสภณ เอี่ยมศิริถาวร ผู้อำนวยการกองโรคติดต่อทั่วไป และคณะแถลงข่าวสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019  โดย นพ.โสภณ เปิดเผยถึงกรณีผู้ป่วยครอบครัวเดียวกันปู่-ย่า-หลาน ซึ่งเป็นผู้ป่วยที่เดินทางกลับจากฮอกไกโดประเทศญี่ปุ่นล่าสุด ทั้งหมดอาการดีขึ้น ปลอดภัย แพทย์ดูแลอย่างใกล้ชิด ส่วนผู้เกี่ยวข้องแวดล้องผู้ติดเชื้อทั้งเพื่อนนักเรียนของหลาน, ผู้ร่วมเดินทางสายการบินเดียวกัน, กลุ่มทัวร์ และแพทย์ รวมทั้งหมด 101 คน ติดตามมาครบแล้วถูกนำสารคัดหลั่งไปตรวจ ผลออกแล้ว 97 ผล เป็นลบ ส่วนอีก 4 คน ยังต้องรอผล

 

เมื่อถามถึงข้อกฎหมายที่จะเอาผิดผู้เดินทางไปประเทศเสี่ยงไม่กักตัว 14 วันและไม่เปิดเผยข้อมูลจะมีวิธีดำเนินการอย่างไร

นพ.โสภณ กล่าวว่า ตอนนี้อยู่ในขั้นตอนประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อมีผลบังคับใช้แล้วโรงแรม สถานประกอบการ ห้องชันสูตร ต้องรายงานและแจ้งว่าสงสัยเป็นโรคติดต่ออันตราย หากเดินทางมาจากพื้นที่เสี่ยงและใกล้ชิดผู้ป่วย ต้องให้ข้อมูลที่เป็นจริงกับแพทย์และพยาบาล และป้องกันไม่ให้ผู้อื่นได้รับอันตราย หาก กม.มีผลบังคับใช้แล้ว ไม่แจ้งจะมีโทษปรับเป็นเงิน 20,000 บาท ย้ำกฎหมายมีเป้าหมายเพื่อความสงบสุขของคนในสังคม เพื่อลดความเสี่ยง ป้องกันคนอื่น และสามารถรับการรักษาได้อย่างรวดเร็ว เมื่อกฎหมายบังคับใช้และการให้ความรู้จะทำให้ประชาชนตระหนักมากขึ้น ลดความเสี่ยงให้กับทุกคน และสร้างความเชื่อมั่นให้ต่างชาติ

นพ.อัษฎางค์ รวยอาจิณ รองอธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวเสริมว่า ต้องรอประกาศราชกิจจาบุเบกษาคาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 1-2 สัปดาห์จึงจะมีผล ยังไม่มีกฎหมายที่จะลงโทษทันที และช่วงบ่ายวันนี้จะมีการหารือถึงมาตรการดำเนินการทางกฎหมายระหว่างรอประกาศราชกิจจานุเบกษา ตอนนี้องกรค์สามารถดำเนินการได้เป็นรายบุคคล

เมื่อถามว่าผู้ที่อยู่ใกล้กับผู้ป่วยปู่-ย่า-หลาน ทั้งที่บ้าน ที่โรงเรียนและกลุ่มทัวร์ ต่างตื่นตระหนกว่าจะติดเชื้อไปด้วย โอกาสติดเชื้อเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหน นพ.โสภณ กล่าวว่า การติดต่อของโควิด-19 คือ ฝอยละอองขนาดใหญ่ที่เกิดจากการไอ จาม ในรัศมี 1 เมตร และต้องอยู่ใกล้ชิด 5 นาทีขึ้นไปจึงจะติดเชื้อ กรณีนี้คนในครอบครัว 5 คน พบผู้ติดเชื้อคือหลานคนเดียว

ถามว่าตอนนี้คนไทยที่กับมาจากต่างประเทศพากันไปตรวจเพื่อยืนยันว่าไม่ได้ติดเชื้อ มีความจำเป็นหรือไม่ นพ.โสภณ กล่าวว่า บางบริษัทมีนโยบายให้พนักงานไปตรวจซึ่งไม่จำเป็น ขอให้สังเกตุอาการก่อน หากมีอาการป่วยจึงไปตรวจที่โรงพยาบาลเพราะไม่ได้ไปประเทศเสี่ยง ย้ำว่า เชื้อโรคไม่เกิดขึ้นทันทีที่ติดเชื้อ ขอให้เข้าใจให้ถูกต้อง ถ้าไม่ป่วยไปตรวจก็ไม่พบ ไม่คุมและเป็นการเพิ่มภาระให้แพทย์ได้

นอกจากนี้ นพ.โสภณ อธิบายถึง 3 มาตราการ พ.ร.บ.โรคติดต่อ 2558 คือ การแยกกัก ผู้ป่วยเข้ารักษาในห้องแยก พบมีการป่วยแล้วอาจมีเชื่อโรค, กักกัน ใช้สำหรับคนที่ยังไม่ป่วย แต่มีโอกาสได้รับเชื้อ เพื่อสังเกตุอย่างใกล้ชิด กระทั่งครบ 14 วัน และคุมไว้สังเกตุอาการ กรณีนี้ คือ ผู้สัมผัสแต่ไม่ได้ใกล้ชิด เช่น ผู้โดยสารบนสายการบินเดียวกับผู้ป่วย เมื่อกฎหมายบังคับใช้แล้ว สธ.สามารถบังคับได้

นอกจากนี้ นพ.โสภณ กล่าวว่าถึงกรณีคนไทย 8 คน บนเรือสำราญไดมอนด์ ปริ้นเซส ว่า ทั้งหมดอาการไม่ได้รุนแรง รักษาพยายาลอยู่ที่ประเทศญี่ปุ่นสามารถดูแลคนไทยทั้ง 8 คนได้จนหายป่วย และติดตามผล 14 วันจึงให้เดินทางกลับประเทศไทยได้ ต้องติดตามสถานการณ์ต่อว่าจะหยุดแพร่ระบาดในเรือแล้วหรือยัง การนำคนไทยกลับบ้านต้องให้เกิดความปลอดภัยทั้ง 2 ฝ่าย

สำหรับสถานการณ์แพร่เชื้อโควิด-19 ในประเทศไทยผู้ป่วยยืนยันติดเชื้อรักษาในโรงพยาบาล 13 ราย กลับบ้านแล้ว 27 ราย รวมสะสม 40 ราย ผู้ป่วยเข้าเกณฑ์สอบสวนโรคต้องเฝ้าระวัง ตั้งแต่วันที่ 3 มกราคม – 26 กุมภาพันธ์ 2563 มีผู้ป่วยเข้าเกณฑ์สอบสวนต้องเฝ้าระวังสะสมทั้งหมด 2,064 ราย คัดกรองจากทุกด่าน 76 ราย มารับการรักษาที่โรงพยาบาลเอง 1,988 ราย อนุญาตให้กลับบ้านได้แล้วและอยู่ระหว่างติดตามอาการ 1,352 ราย ส่วนใหญ่เป็นไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล ยังคงรักษาในโรงพยาบาล 712 ราย

สถานการณ์ทั่วโลกใน 46 ประเทศ ข้อมูลตั้งแต่ 5 มกราคม – 27 กุมภาพันธ์ 2563 (07.00 น.) พบผู้ป่วยยืนยันติดเชื้อจำนวน 81,406 ราย เสียชีวิต 2,771 ราย ส่วนประเทศจีนพบผู้ป่วย 78,073 ราย เสียชีวิต 2,715 ราย

podcast

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้ และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณเพื่อเราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมกับความสนใจของคุณ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมเราจะไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาและโฆษณาได้ไม่ตรงกับความสนใจของคุณ
    รายละเอียดคุกกี้

บันทึกการตั้งค่า