
ซึ่งตามกฎกระทรวงแต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่ กำหนดให้นายอำเภอ เป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ตาม มาตรา 8 สำหรับในเขตพื้นที่ต่างจังหวัด ซึ่งต้องตรวจสอบต่อไปว่าผู้ขออนุญาตเคยต้องโทษเกี่ยวกับทรัพย์ กรรโชก ฉ้อโกง ยักยอกทรัพย์ หรือทุจริตต่อหน้าที่ตามกฎหมายลักษณะอาญาหรือไม่ หากใครฝ่าฝืนย่อมมีความผิดตาม มาตรา 17 ประกอบ มาตรา 19 ได้หรือหากผู้จัดกิจกรรมปิดบังอำพรางข้อเท็จจริงก็อาจเข้าข่ายความผิดฐานแจ้งความเท็จตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 172 ด้วย
สมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย จึงได้ทำหนังสือร้องเรียนไปยังอธิบดีกรมการปกครองเพื่อขอให้ตรวจสอบว่ากรณีการขอรับบริจาคของนายฌอน บูรณะหิรัญ ดังกล่าวนั้นได้ดำเนินการถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ ดังนี้
1. กิจกรรมการเรี่ยไรดังกล่าวมีการดำเนินการขออนุญาตจากนายอำเภอเมือง จ.เชียงใหม่ ตามกฎกระทรวง แห่ง พ.ร.บ.ควบคุมการเรี่ยไร 2487 แล้วหรือไม่ อย่างไร
2. กิจกรรมการเรี่ยไรดังกล่าวมีการออกใบรับเงินให้กับผู้บริจาคทุกคนและมีต้นขั้วใบรับไว้เป็นหลักฐานตามที่กำหนดไว้ใน มาตรา13 หรือไม่
3. เงินบริจาคที่ได้มาดังกล่าว มีการนำไปใช้จ่ายในการจัดทำสื่อเพื่อประชาสัมพันธ์ตนเอง เป็นการใช้เงินผิดวัตถุประสงค์ตาม มาตรา 14 หรือไม่ อย่างไร และหากนำไปใช้ผิดวัตถุประสงค์อาจเข้าข่ายความผิดฐานฉ้อโกง ตามกฎหมายอาญา มาตรา 341 ได้ที่ระบุว่า “ผู้ใดโดยทุจริต หลอกลวงผู้อื่นด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้งและโดยการหลอกลวงให้ได้ไปซึ่งทรัพย์สินจากผู้ถูกหลอกลวง ผู้นั้นกระทำความผิดฐานฉ้อโกง ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ”
“ทั้งนี้กิจกรรมการขอรับบริจาคของนายฌอนได้ดำเนินการเสร็จสิ้นลงไปแล้ว หากเป็นการดำเนินการที่ฝ่าฝืน พ.ร.บ.ควบคุมการเรี่ยไร พ.ศ.2487 และประมวลกฎหมายอาญา ก็ย่อมที่จะฝ่าฝืน พ.ร.บ.การกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ 2550 ตามไปด้วย ย่อมถือได้ว่า “เป็นความผิดที่สำเร็จแล้ว” จึงขอให้กรมการปกครองต้องดำเนินการทางกฎหมายเพื่อแจ้งความดำเนินคดีตามครรลองของกฎหมายต่อไป” นายศรีสุวรรณกล่าว

เบื้องต้นขณะนี้ ยังไม่ได้รับรายงานว่ามีประ
รอง โฆษก ตร. กล่าวต่ออีกว่า หากมีประชาชนหรือมีผู้ที่ได

ขณะที่นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมสรรพากร เปิดเผยว่า ในหลักการเงินที่ได้รับการบริจาคมา จะต้องมีการทำบันทึกรายรับ รายจ่าย และต้องนำไปใช้บริจาคตามวัตถุประสงค์ทั้งหมด จึงจะได้รับยกเว้นภาษีเงินได้ เช่นเดียวกับกรณี บิณฑ์ บรรลือฤทธิ์ ที่เปิดบัญชีรับบริจาค อุทกภัย ที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม กรมสรรพากร คงไม่ได้เข้าไปตรวจสอบ บัญชีรายรับของนายฌอนทันที เป็นหน้าที่ของผู้เสียภาษี ต้องยื่นแบบรายได้ประจำปี ซึ่งรวมทั้ง รายได้ส่วนตัวและเงินบริจาคทั้งหมด ต้องชี้แจงได้ว่ามีที่มารายได้และนำไปใช้อย่างไร ซึ่งกรมสรรพากร มีอำนาจสามารถตรวจสอบจำนวนเงินที่เข้าบัญชีได้ทั้งหมด
ส่วนกรณีที่บริจาคส่วนหนึ่งมาใช้ผลิตสื่อ 2.5 แสนบาท กรมต้องขอไปตรวจสอบก่อนว่าจะเข้าข่ายได้รับการยกเว้นภาษีด้วยหรือไม่ เพราะไม่ใช่เป็นการนำเงินไปบริจาคต่อ