3 ยุคกว่าจะเป็น Bitkub สรุปเส้นทางโดย ‘ท็อป จิรายุส’

Employer Branding Mastery หลักสูตรเจาะลึกการสร้างแบรนด์ขององค์กรยุคใหม่ รอบนี้พาไปเยี่ยมชมบริษัทอันดับ 5 ที่คนรุ่นใหม่อยากร่วมงานด้วยมากที่สุดอย่าง ‘บิทคับ’ (Bitkub)

ภายในงานมี ‘ท็อป-จิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา’ ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด มาเล่าให้ฟังตั้งแต่จุดเริ่มต้นในการก่อตั้งแบรนด์ ไปจนถึงการบริหารคน

ช่วงที่กำลังก่อตั้ง Bitkub มีนายทุนรายใหญ่สนใจเข้ามาร่วมลงทุนด้วย ทั้งที่ตอนนั้นเขามีเพียง ‘คำขายที่เก่ง’ แต่ก็สามารถระดมทุนมาได้ถึง 67 ล้านบาท ซึ่งเป็นยอดเงินระดมทุนที่สูงสุดของสตาร์ทอัพในประเทศไทย

แต่ทุกอย่างก็ไม่ได้สวยหรู แม้จะมีเงินทุนมากมาย แต่การบริหารไม่ใช่เรื่องง่าย ทำให้กว่าจะเป็น Bitkub ในวันนี้ต้องฟันฝ่าอุปสรรคมาถึง 3 ยุคด้วยกัน

[ Wartime ]

เป็นช่วงที่บริษัทเริ่มก่อตั้งในยุคแรกๆ ในตอนนั้นมีเงินทุนค่อนข้างจำกัด แม้จะระดมทุนมาได้ 67 ล้านบาท แต่นักลงทุนก็ประเมินมูลค่าบริษัทไว้สูงกว่า 400 ล้านบาทเลยทีเดียว

Bitkub จำเป็นจะต้องโตให้มากกว่าที่พูดไว้ ซึ่งนอกจากจะต้องทำอะไรที่ตื่นเต้นและท้าทายตัวเองแล้ว ยังต้องใช้เงินให้คุ้มค่า ห้ามใช้เงินกับสิ่งที่ไม่ได้อะไรกลับมาอีกด้วย

ในปีแรก Bitlub จึงตั้งออฟฟิศเล็กๆ ในร้านขายเสื้อผ้าของคุณแม่ของคุณท็อป สามารถทำรายได้ 40 ล้าน กำไร 3 ล้านบาท ซึ่งก็ยังไม่เท่ากับที่นายทุนประเมินมูลค่าบริษัทไว้

แม้ในปีต่อมาจะทำรายได้ไป 50 ล้านบาท กำไร 33 ล้านบาท คิดเป็นการเติบโต 1,000% แต่ก็ยังไม่เท่ากับมูลค่าบริษัทที่นายทุนประเมินไว้เช่นกัน

ในตอนนั้น คุณท็อปคิดว่า หรือจะขายบิตคอยน์มาหนุนบริษัทดี แต่ก็ไม่ได้ขาย และสามารถควบคุมต้นทุนได้ต่อไปได้ สิ่งที่ได้เรียนรู้จากยุคแรกคือ ผิดพลาดทุกเรื่อง ตั้งแต่คำขายที่เก่งและการประเมินมูลค่าบริษัทไว้สูง 

[ Business Skilling ]

ด้วยความที่บริษัทเติบโตมากกว่าปีละ 1,000% ในปี 2564 บริษัทมีรายได้ 6,600 ล้านบาท กำไร 3,300 ล้านบาท เริ่มรู้สึกว่ามีเงิน จึงพาพนักงานในออฟฟิศทุกคนไปเที่ยวประจำปี

แต่เส้นทางก็ไม่ได้สวยหรูขนาดนั้น เพราะเปิดปีใหม่มาก็มีมีข่าวโจมตีบริษัทค่อนข้างเยอะ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่ราคาของคริปโตเคอร์เรนซีผันผวน และการเสียภาษีที่ค่อนข้างสูง ซึ่งทำให้นักลงทุนไม่พอใจ

Bitkub ต้องเอาเงินไปจ่ายภาษีให้รัฐบาลราวๆ 1,700 ล้านบาทโดยที่ไม่ได้วางแผนภาษีมาก่อน โชคดีที่บริษัทยังคงกำไร แต่ก็ทำให้หลังจากนั้น ค่าใช้จ่ายทุกอย่างต้องเข้มงวดขึ้นและผ่าน CEO โดยตรง

สำหรับการบริหารงานในช่วงนั้น คุณท็อปมองว่า การประชุมไม่ได้จำเป็น เพราะเราไม่สามารถรอทุกคนประชุมได้ ทุกคนต้องใช้เวลาในการทำงานให้คุ้มค่าที่สุด ไม่ควรเสียเวลามาประชุม

ในยุค Business Skilling มีคนสมัครเข้ามาร่วมงานกับ Bitkub วันละ 200-300 คนเลยทีเดียว แต่ด้วยการบริหารที่มีความผิดพลาดอยู่บ่อยครั้ง ทำให้บริษัทจำเป็นต้องค่อยๆ เปิดรับคน

[ Peak Time ]

ยุคปัจจุบัน ถือว่า Bitkub ชนะสงคราม เพราะกว่า 95% ของคนไทยเลือกใช้ Bitkub ในการเทรดคริปโตฯ ทำให้บริษัทกลายเป็นเจ้าใหญ่ (Monopoly) ในวงการ

ประกอบกับยุคนี้บริษัทมีกระแสเงินสดมาก ทำให้สามารถสร้างสภาพแวดล้อมที่ดีให้กับพนักงานได้ สามารถให้พนักงานใช้เวลาได้อย่างเต็มที่ อยู่ในสิ่งแวดล้อมออฟฟิศที่เอื้อต่อความคิดสร้างสรรค์ 

ในยุคนี้มีกลุ่มคนสมัครใช้งานกับ Bitkub เฉลี่ยวันละ 30,000 คน หรือเทียบเท่ากับความจุของสนามราชมังคลากีฬาสถานเลยทีเดียว

เมื่ออ่านมาถึงตรงนี้ เราคงได้เห็น 3 ยุคสมัยที่กว่าจะมาเป็น Bitkub กันไปแล้ว แน่นอนว่าการจะสร้างแบรนด์ให้สำเร็จไม่ใช่เรื่องง่าย เราทุกคนล้วนเคยผ่านความผิดพลาดก่อนจะพบกับความสำเร็จกันทั้งนั้น

แล้วธุรกิจของคุณหล่ะ อยู่ในยุคไหนแล้ว