SHARE

คัดลอกแล้ว

กลุ่มการเงินเกียรตินาคินภัทร ชวนวิเคราะห์ 3 เหตุผลที่ทำให้ ‘คริปโตเคอร์เรนซี’ ไม่สามารถมาแทนเงินสดได้

KKP Research โดยกลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร เท้าความว่า คริปโตเคอร์เรนซี (Cryptocurrencies) โดยเฉพาะอย่างยิ่งบิตคอยน์ (Bitcoin) เป็นสินทรัพย์ที่มูลค่าเพิ่มสูงขึ้นมาก โดยเฉพาะตั้งแต่ช่วงการระบาดของโควิด-19 เป็นต้นมา

คนส่วนหนึ่งลงทุนด้วยความเชื่อว่า คริปโตเคอร์เรนซีเป็นเงินในโลกอนาคตที่สามารถมาทดแทนเงินของธนาคารกลางที่เราใช้กันอยู่ในปัจจุบัน ผ่านเทคโนโลยีที่ไม่ต้องพึ่งตัวกลาง โปร่งใส และเป็นเครื่องรักษามูลค่าของตัวเองได้ด้วยปริมาณอุปทานที่มีอยู่อย่างจำกัด

อย่างไรก็ตาม KKP Research ประเมินว่า บทบาทของคริปโตเคอร์เรนซีในการเข้ามาทดแทนระบบเงินปัจจุบันที่ควบคุมโดยธนาคารกลาง เป็นไปได้ยากจากข้อจำกัด 3 ด้าน คือ

[ 1 ] คริปโตส่วนใหญ่ยังขาดคุณสมบัติของเงิน

ข้อมูลในปัจจุบันชี้ชัดว่าคริปโตเคอร์เรนซี ยังไม่สามารถทำหน้าที่ ข้อหลักของเงินได้ คือ

1. คริปโตเคอร์เรนซี ไม่สามารถเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน (Medium of Exchange) โดยระยะเวลาในการทำธุรกรรมยังคงเป็นอุปสรรคสำคัญ

โดยเฉพาะมีความขัดแย้งกันระหว่างความสามารถในการกระจายอำนาจของระบบ (Decentralization) และ ความปลอดภัยของระบบ (Security) ทำให้ความสามารถในการทำธุรกรรม (Scalability) ลดลง 

2. คริปโตเคอร์เรนซี ไม่สามารถเป็นมาตรฐานในการใช้วัดมูลค่า (Unit of Account) จากความผันผวนเทียบกับเงินสกุลอื่นสูงทำให้ผู้ขายจำเป็นต้องปรับราคาถี่ขึ้นซึ่งเป็นการเพิ่มต้นทุนต่อเศรษฐกิจจากทั้งผู้ขายและผู้บริโภค

ปัจจุบันจึงมีกลุ่มคนที่ใช้คริปโตเคอเรนซี หรือ บิตคอยน์มาเป็นฐานเปรียบเทียบมูลค่าของสินค้าและบริการน้อยมาก 

3. คริปโตเคอร์เรนซี ไม่สามารถเป็นเครื่องรักษามูลค่า (Store of Value) แม้ปริมาณที่จำกัดสามารถรับประกันได้ระดับหนึ่งว่าคริปโตเคอร์เรนซีจะไม่ถูกด้อยค่าด้วยการเพิ่มอุปทาน

แต่มูลค่าพื้นฐานยังขึ้นอยู่กับความต้องการใช้และประโยชน์ที่ได้จากการถือเงินสกุลนั้นๆ ด้วย ไม่สามารถมั่นใจได้ว่าผู้คนจะเชื่อมั่นในบิตคอยน์ได้ตลอดไป โดยเฉพาะสถานการณ์เศรษฐกิจและอัตราดอกเบี้ยที่ยังมีความไม่แน่นอนสูง

เมื่อเปรียบเทียบกับเงินสกุลดอลลาร์ ซึ่งเป็นตราสารหนี้ที่ไม่มีการจ่ายดอกเบี้ยที่สามารถทำหน้าที่เป็นเครื่องมือในการชำระภาระภาษีได้ และยังถูกยอมรับทั่วโลกเนื่องมาจากกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ยังเกิดกับผู้ที่ต้องชำระภาษีสหรัฐฯ ในปริมาณสูง

[ 2 ] ความเสี่ยงที่เอกชนเป็นเจ้าของสกุลเงิน

การเปลี่ยนระบบการเงินจากยุคปัจจุบันไปสู่คริปโตเคอร์เรนซี แม้เป็นความตั้งใจที่ดีและมีการใช้เทคโนโลยีที่อาจเพิ่มประสิทธิภาพในระบบการเงิน

แต่การให้เอกชนเป็นคนออกสกุลเงินและจำกัดปริมาณเงินให้คงที่เพื่อรักษามูลค่าเป็นระบบที่มีความไม่มั่นคงสูงและขาดกลไกในการรองรับความเสี่ยงหากเศรษฐกิจเจอกับปัจจัยภายนอกที่ไม่ได้คาดคิด ซึ่งจะสร้างความเสี่ยงหลายประการ คือ

1. ปริมาณเงินที่ถูกกำหนดไว้อย่างจำกัด จะสร้างความเสี่ยงให้เศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะเงินฝืด (Deflation) หากปริมาณเงินเพิ่มขึ้นไม่ทันการเติบโตระยะยาวของเศรษฐกิจ

2. การกำหนดให้ปริมาณเงินมีปริมาณคงที่ ทำให้ไม่สามารถปรับปริมาณเงินให้เหมาะสมกับภาวะเศรษฐกิจได้ ทำให้เศรษฐกิจอาจมีความผันผวนเพิ่มมากขึ้น

3. ระบบที่ไม่มีผู้ดูแลเสถียรภาพทางการเงินจะไม่สามารถสร้างความมั่นใจในระบบการเงินในยามวิกฤตได้ เช่น หากเกิดวิกฤติแบบโควิด -19 การขาดบทบาทของนโยบายการเงินอาจทำให้ปัญหาลุกลามไปสู่เสถียรภาพระบบการเงินของประเทศได้ 

[ 3 ] สารพัดข้อจำกัดที่ทำให้คนไม่ยอมรับบิตคอยน์

ในทางทฤษฎี หากทุกคนยอมรับให้บิตคอยน์ เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน ย่อมเป็นไปได้ที่บิตคอยน์จะผันผวนลดลงและทำหน้าที่เป็นเครื่องรักษามูลค่าได้ ซึ่งอาจทำให้บิตคอยน์สามารถทำหน้าที่เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนได้

อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนผ่านจากโครงสร้างเศรษฐกิจการเงินในปัจจุบันไปสู่ดุลยภาพใหม่ที่มีบิตคอยน์เป็นสื่อกลางยังจะต้องเจอกับอุปสรรคอีกมาก คือ

1. ต้นทุนธุรกรรมที่จะเพิ่มขึ้นเมื่อขนาดของระบบใหญ่ขึ้น หากความต้องการในการทำธุรกรรมเพิ่มสูงขึ้นในระบบบิตคอยน์จะทำให้ Network มีความแออัดและค่าธรรมเนียมในการทำธุรกรรมเพิ่มขึ้น

ซึ่งจะดึงดูดให้จำนวนนักขุดเข้ามาในระบบมากขึ้น แต่จะทำให้ความล่าช้าในระบบเพิ่มขึ้นแทน ซึ่งจะทำให้อัตราการใช้บิตคอยน์ (Adoption Rate) ลดลง

2. ต้นทุนในการเปลี่ยนไปใช้สกุลเงินใหม่ การเปลี่ยนไปใช้สกุลใหม่ยังมีต้นทุนที่สำคัญ คือ Network Effect ของสกุลเงินที่ถูกใช้อยู่เป็นประจำ หากสกุลเงินปัจจุบันไม่ได้เสียกำลังการซื้ออย่างรุนแรงจะทำให้แรงจูงใจในการเปลี่ยนไปใช้สกุลเงินใหม่มีน้อย

3. แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นจะทำให้มูลค่าของบิตคอยน์ลดลง แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่จะเพิ่มขึ้นตามแรงกดดันด้านเงินเฟ้อที่สูงยาวนานกว่าที่คาดการณ์ไว้และสภาพคล่องที่ถูกดูดออกมากขึ้

โดยเฉพาะนโยบายลดสภาพคล่อง (QT) ในสหรัฐฯ จะทำให้ต้นทุนค่าเสียโอกาสในการครอบครองสินทรัพย์ที่ไม่ผลิตกระแสเงินสดเพิ่มขึ้นและจะสร้างแรงกดดันที่มากขึ้นกับราคาของบิตคอยน์ รวมถึงความผันผวนของบิตคอยน์ก็มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเช่นกัน ซึ่งจะส่งผลให้การยอมรับในการใช้บิตคอยน์ลดลงได้

4. การแข่งขันในตลาดของสกุลเงินอาจไม่ก่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด การแข่งขันของสกุลเงินเอกชนอาจไม่ก่อให้เกิดเสถียรภาพทางด้านราคา หรือเศรษฐกิจยังมีความเสี่ยงเงินเฟ้ออยู่ เนื่องจากผู้ประกอบการมีแรงจูงใจในการสร้างสกุลเงินเพิ่มเติมเพื่อกำไรจากการสร้างเหรียญ

5. รัฐบาลในหลายประเทศยังไม่ยอมรับให้คริปโตเคอร์เรนซีเป็นเงินตราที่ชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย การไม่ได้รับการยอมรับจากภาครัฐ และความเสี่ยงในอนาคตที่ภาครัฐต้องมีการกำกับดูแลคริปโตเคอร์เรนซีจะทำให้ต้นทุนและอุปสรรคในการใช้งานคริปโตเคอร์เรนซีเพิ่มขึ้น รวมถึงจะจำกัดความสามารถในการเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนหรือชำระหนี้ได้

[ ความเสี่ยงต่อการลงทุนระยะยาว ]

การคาดเดาทิศทางของราคาบิตคอยน์และคริปโตเคอร์เรนซียังคงทำได้ยาก แม้ว่าเหรียญดิจิทัลเหล่านี้อาจถูกมองว่าไม่มีมูลค่าพื้นฐานแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะต้องมีมูลค่าเป็นศูนย์เสมอไป

และความผันผวนในราคาของสินทรัพย์เหล่านี้น่าจะเพิ่มมากขึ้นในอนาคตในช่วงที่ความไม่แน่นอนเรื่องอัตราเงินเฟ้อและทิศทางของนโยบายการเงินเพิ่มสูงขึ้นมาก และมีความเสี่ยงสูงที่ราคาจะปรับตัวลงได้

KKP Research ประเมินว่าปัจจัยทั้งหมดนี้เป็นอุปสรรคสำคัญต่อการยอมรับในบิตคอยน์หรือคริปโตเคอร์เรนซีอื่นๆ ให้เป็นสกุลเงินหลักในอนาคต

อย่างไรก็ตาม บิตคอยน์และคริปโตเคอร์เรนซีอาจยังคงอยู่เป็นสินทรัพย์ทดแทนที่มีการซื้อขายต่อไป แม้ว่าจะไม่ใช่สกุลเงินก็ตาม และหากคริปโตเคอร์เรนซีสามารถทำหน้าที่ที่สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจให้กับตัวเองได้

เช่น ลดต้นทุนการทำธุรกรรม หรือสร้างโมเดลทางธุรกิจแบบใหม่ที่ระบบปัจจุบันทำไม่ได้ ก็อาจจะสามารถมีมูลค่าในตัวมันเองได้

นอกจากนี้ การมีอยู่ของคริปโตเคอร์เรนซี แม้ว่าจะเป็นในรูปของสินทรัพย์ทดแทน จะช่วยเตือนให้ภาครัฐและธนาคารกลางคำนึงถึงคุณลักษณะที่ดีของเงินสาธารณะ (Public Money) และนำไปสู่การทำนโยบายการเงินที่สอดคล้องกับการเติบโตของเศรษฐกิ

เช่น การไม่ทำนโยบายประชานิยมหรือพิมพ์เงินมากเกินไปจนทำให้เกิดวิกฤตเงินเฟ้อรุนแรง (Hyperinflation) และสภาวะทางสังคมล่มสลายซึ่งมีตัวอย่างให้เห็นในประวัติศาสตร์

podcast

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้ และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณเพื่อเราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมกับความสนใจของคุณ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมเราจะไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาและโฆษณาได้ไม่ตรงกับความสนใจของคุณ
    รายละเอียดคุกกี้

บันทึกการตั้งค่า