Advertisement

SHARE

คัดลอกแล้ว

ผู้ว่าแบงก์ชาติเปิดเผยในงานสัมมนาประจำปีของธนาคารแห่งประเทศไทยว่า ธนาคารกลางต้องมีอิสระเพื่อทำงานที่มองยาว ขณะที่งานวิจัย IMF ระบุว่า ประเทศที่แบงก์ชาติมีความเป็นกลาง สามารถจัดการเงินเฟ้อได้ดีกว่า

‘เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ’ ผู้ว่าการธนาคารกลางแห่งประเทศไทย เปิดเผยในงาน BOT SYMPOSIUM 2024 ว่า  ทุกวันนี้ ถ้าเรามองไปรอบตัว เราจะเห็นปัญหามากมายในระดับต่างๆ ที่สังคมของเรากำลังเผชิญ

ในระดับบุคคล หนี้ครัวเรือนในช่วง 20 ปีที่ผ่านมาเพิ่มจาก 50% เป็น 90% ต่อ GDP ซึ่งมาพร้อมกับภาวะการเงินของครัวเรือนไทยที่เปราะบางมากขึ้นเรื่อยๆ โดยในปัจจุบัน 38% ของคนไทยมีหนี้ในระบบ มีปริมาณหนี้เฉลี่ยคนละ 540,000 บาท และส่วนใหญ่มีหนี้ที่อาจไม่ก่อให้เกิดรายได้

ครัวเรือนบางกลุ่มโดยเฉพาะกลุ่มรายได้น้อย ที่ต้องก่อหนี้ในช่วงที่ขาดรายได้จากวิกฤตโควิด กำลังเริ่มมีปัญหาในการชำระหนี้เนื่องจากรายได้อาจยังไม่ฟื้นตัวดี ในขณะที่มีเพียง 22% ของคนไทยที่มีเงินออมในระดับที่เพียงพอ และเพียง 16% ที่มีการออมเพื่อการเกษียณอายุ

ในระดับประเทศ เราประสบปัญหาการลงทุนที่ต่ำต่อเนื่องมายาวนาน การลงทุนโดยรวมของไทยจากที่เคยโตเฉลี่ย 10% ต่อปีก่อนเกิดวิกฤตปี 2540 เหลือเพียง 2% ต่อปีในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา และในภาคอุตสาหกรรมไทย มีบริษัทเพียงไม่ถึง 3% เท่านั้นที่ลงทุนใน R&D ทำให้การลงทุนในด้านนี้ของไทยยังต่ำเพียงประมาณ 1% ของ GDP เทียบกับเกาหลีใต้ที่สูงถึง 5% ของ GDP

ในระดับโลก เรากำลังเผชิญกับปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งส่งผลให้เหตุการณ์สภาพอากาศสุดขั้วเกิดขึ้นบ่อย และมีความรุนแรงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เหตุการณ์เหล่านี้กำลังส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจและชีวิตความเป็นอยู่ของคนทั่วโลก

ข้อมูลจากองค์การอุตุนิยมวิทยาโลก (WMO: World Meteorological Organization) ชี้ให้เห็นว่าผลกระทบและความเสียหายทางเศรษฐกิจจากเหตุการณ์สภาพอากาศสุดขั้วที่เกิดขึ้นทั่วโลกได้เพิ่มขึ้นกว่า 8 เท่าตัว ในช่วง 40 ปีที่ผ่านมา

ปัญหาต่างๆ ที่ได้กล่าวไปข้างต้นอาจดูแตกต่างกัน แต่กลับมีความเกี่ยวข้องกันโดยตรง แท้จริงแล้ว ปัญหาเหล่านี้มีจุดร่วมที่สำคัญ คือ เป็นปัญหาที่เกิดจากการตัดสินใจโดยคำนึงถึงผลประโยชน์ที่เกิดขึ้นในระยะสั้นเป็นหลัก และไม่ได้ให้ความสำคัญกับต้นทุนที่เกิดขึ้นในอนาคตมากเท่าที่ควร

ซึ่งอาจจะเรียกได้ว่าเป็นปัญหาหนี้’ ในนิยามกว้างๆ ที่ตัวเราเองในอนาคต หรือคนรุ่นหลังจะต้องมาชดใช้ในภายหน้า จึงเป็นที่มาของงานสัมมนาวิชาการธนาคารแห่งประเทศไทยในปีนี้ ที่จัดขึ้นในหัวข้อหนี้: The Economics of Balancing Today and Tomorrow’

งานสัมมนาในวันนี้จะมุ่งตอบคำถามสำคัญคือปัญหาหนี้’ ในสังคมไทยเกิดขึ้นได้อย่างไร โดยเจาะลึกไปถึงต้นตอของปัญหา พร้อมทั้งหาแนวทางที่เราทุกคนจะช่วยกันรักษาสมดุลระหว่างระยะสั้นและระยะยาว เพื่อขับเคลื่อนสังคมไทยให้หลุดพ้นจากปัญหาเหล่านี้

ต้นตอของปัญหาหนี้’ อาจแบ่งได้เป็น 2 ด้าน คือจากตัวปัจเจกและจากสภาพแวดล้อมที่อาจส่งผลต่อการตัดสินใจของปัจเจก

ในด้านของปัจเจก แบบจำลองทางเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่มีสมมติฐานว่าคนเราเป็น rational agent คือตัดสินใจอย่างมีเหตุมีผล ตัดสินใจบนข้อมูลที่ถูกต้อง และเลือกการกระทำที่จะส่งผลให้เรามีความเป็นอยู่ที่ดีที่สุด

แต่ก็มีหลักฐานทางเศรษฐศาสตร์พฤติกรรมมากมายที่ชี้ให้เห็นว่าคนเรามีอคติเชิงพฤติกรรม (behavioral bias) ที่สร้างข้อจำกัดในการตัดสินใจ โดยหนึ่งใน behavioral bias ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องปัญหาหนี้’ โดยตรง คือ present bias หรือการเลือกให้ความสำคัญกับปัจจุบันมากเกินไป

ซึ่งท่านจะได้เห็นในงานสัมมนาวันนี้ว่าเป็นสาเหตุสำคัญของการขาดวินัยและก่อให้เกิดปัญหาหนี้ตามมาเพราะเมื่อเราเห็นว่าปัจจุบันสำคัญที่สุดการตัดสินใจใดที่ทำให้ความสุขในวันนี้ลดลงแต่ช่วยเพิ่มความเป็นอยู่ที่ดีในอนาคตเช่นการออกกำลังกายการลงทุนก็มักจะถูกละเลย

นอกจาก behavioral bias แล้ว ก็ยังมีข้อจำกัดอื่นๆ ในระดับบุคคลที่ทำให้การตัดสินใจไม่ได้นำไปสู่ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดเสมอไป ไม่ว่าจะเป็น การประเมินอนาคตดีเกินควร เช่น ไม่ออมเงินเพื่อการเกษียณ เพราะคิดว่าจะสามารถทำงานและมีรายได้ไปได้เรื่อยๆ หรือ ไม่ซื้อประกันสุขภาพ เพราะไม่คิดว่าตัวเองจะเจ็บป่วย

หรือความไม่รู้ไม่เข้าใจ รวมถึงการไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลที่เพียงพอ เช่น การขาดความรู้ทางการเงินเกี่ยวกับการกู้ยืมหรืออัตราดอกเบี้ย จนนำไปสู่ปัญหาการก่อหนี้ที่เกินตัว นอกจากนี้ ข้อจำกัดในการตัดสินใจต่างๆ ข้างต้น ก็ส่งผลต่อการตัดสินใจของธุรกิจด้วยเช่นกัน หากขาดข้อมูลหรือประเมินรายได้และต้นทุนในการดำเนินการในอนาคตคลาดเคลื่อนไป

ในด้านสภาพแวดล้อม ก็ต้องยอมรับว่าปัญหาหนี้’ ก็เกิดจากการที่กฎ กติกา สภาพแวดล้อม ที่เรียกรวมๆ ว่าสถาบัน’ ทั้งทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง ที่ไม่เอื้อให้ปัจเจกคำนึงถึงผลประโยชน์ในอนาคตอย่างเพียงพอ

ในที่นี้ จะขอยกตัวอย่างจากปัญหาหนี้’ สามตัวอย่าง 

• ตัวอย่างแรก คือปัญหา climate change ที่เกิดจากความล้มเหลวของตลาดที่ในทางเศรษฐศาสตร์เรียกว่า market failure หรือ externalities ต่าง (ผลกระทบภายนอก) ซึ่งเกิดจากการกระทำบางอย่างไปกระทบกับความเป็นอยู่ของคนอื่น ทำให้เกิดต้นทุนทางสังคมที่ผู้กระทำอาจไม่ได้คิดมาเป็นต้นทุนของตนเอง

โดยในบริบทของปัญหา climate change การที่ธุรกิจไม่ต้องรับผิดชอบหรือแบกรับต้นทุนในการจัดการก๊าซเรือนกระจก ทำให้ต้นทุนของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่ำกว่าที่เป็นจริง ธุรกิจจึงมีแนวโน้มที่จะปล่อยก๊าซเรือนกระจกในระดับที่สูงเกินระดับที่ควรจะเป็น จะเห็นได้ว่า บริษัทเหล่านี้ไม่ได้ทำอะไรที่ผิดในเชิงธุรกิจ หากแต่เพียงตอบสนองต่อกฎ กติกา ที่มีอยู่เท่านั้น

• ตัวอย่างที่สอง คือปัญหาหนี้ครัวเรือน ที่ข้อจำกัดด้านพฤติกรรมของปัจเจก เช่น การใช้จ่ายเกินตัว เป็นสาเหตุเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น แต่อีกส่วนหนึ่งเกิดจากการที่ประชาชนขาดรายได้ที่เพียงพอต่อการเลี้ยงชีพ ขาดระบบโครงข่ายรองรับทางสังคม (social safety net) ที่ดีพอ และสถาบันการเงินไม่มีข้อมูลที่รอบด้านในการประเมินความเสี่ยงของผู้กู้อย่างเหมาะสม

ดังนั้น เมื่อขาดรายได้และไม่มี social safety net คนก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากพึ่งพิงสินเชื่อ และอาจจะกู้เกินศักยภาพหากสถาบันการเงินไม่สามารถประเมินความเสี่ยงที่แท้จริงได้

• ตัวอย่างที่สาม คือปัญหาการลงทุนต่ำของภาคธุรกิจ ซึ่งไม่เพียงแต่จะเกิดจากตัวธุรกิจเอง แต่ยังรวมไปถึงระบบตลาดที่ไม่แข่งขัน ที่ทำให้ทั้งธุรกิจใหญ่ที่ไม่ต้องแข่งก็ชนะ และธุรกิจเล็กที่ไม่สามารถแข่งได้ขาดแรงจูงใจที่จะลงทุน

นอกจากนี้ นโยบายของรัฐที่เน้นการช่วยเหลือระยะสั้น แต่ไม่ได้ให้ความสำคัญกับการสร้างสิ่งแวดล้อมที่เอื้อต่อการลงทุน เช่น การลดกฎระเบียบที่ไม่จำเป็น (regulatory reform) หรือการสร้างโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ที่จะช่วยเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจ ตลอดถึงระบบการเงินที่ยังไม่เอื้อให้ธุรกิจเข้าถึงเงินทุนได้ ก็มีส่วนทำให้ธุรกิจไม่ลงทุนเท่าที่ควร

แล้วเราจะแก้ไขปัญหาหนี้’ ของสังคมไทยได้อย่างไร?

ทุกคนคงพอได้เห็นภาพแล้วว่าปัญหาหนี้’ ที่เราทุกคนกำลังประสบอยู่นี้ เกิดได้จากทั้ง behavioral bias หรือข้อจำกัดในการตัดสินใจของปัจเจก และจากสถาบันที่ไม่เอื้อให้ปัจเจกคำนึงถึงผลประโยชน์ในอนาคตอย่างเพียงพอ ดังนั้น ทางแก้ปัญหาหนี้’ จึงจำเป็นต้องประกอบไปด้วยการแก้ในทั้งสองส่วนนี้

ในส่วนของ behavioral bias และข้อจำกัดในการตัดสินใจของปัจเจก มีงานวิจัยทางเศรษฐศาสตร์พฤติกรรมที่น่าสนใจมากมายในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับการ nudge หรือกลไกในการกระตุกพฤติกรรมที่ช่วยให้คนที่มี behavioral bias สามารถตัดสินใจได้อย่างเหมาะสมขึ้น

และมีตัวอย่างที่ประสบผลสำเร็จทั้งในไทยและต่างประเทศ เช่น การกำหนดให้การออมเพื่อการเกษียณภายใต้กองทุนสำรองเลี้ยงชีพเป็น default option ที่ทำให้คนทำงานในระบบมีเงินออมเพื่อการเกษียณเพิ่มขึ้น และนอกจากตัวอย่างดังกล่าว ท่านจะได้เห็นกรณีศึกษาอื่นๆ ตลอดงานสัมมนาวิชาการในวันนี้

ในส่วนของสถาบันที่ไม่เอื้อให้ปัจเจกคำนึงถึงอนาคตอย่างเพียงพอ เราจะต้องเร่งปรับแก้กฎ กติกา รวมไปถึงการบังคับใช้กฎกติกาเหล่านั้นในอย่างน้อยสามด้าน

• ด้านเศรษฐกิจ ต้องแก้ความล้มเหลวของตลาดในรูปแบบต่าง ที่นำไปสู่การสร้างหนี้’ เช่น การทำให้ต้นทุนของธุรกิจสะท้อนต้นทุนที่แท้จริงต่อสังคมมากขึ้น การส่งเสริมให้เกิดการแข่งขันในภาคธุรกิจ และเสริมสร้างให้ระบบการเงินทำงานได้ดีขึ้นเพื่อช่วยให้คนและธุรกิจมีโอกาสเติบโตได้อย่างเท่าเทียม ทั่วถึง และยั่งยืน

• ด้านสังคม ต้องสร้าง social safety net ที่ตอบโจทย์ ลงทุนในทรัพยากรมนุษย์ เพื่อให้คน’ ที่เป็นทรัพยากรหลักของประเทศ มีความเป็นอยู่ที่ไม่ต้องกังวลถึงปัญหาเฉพาะหน้า ซึ่งจะนำไปสู่การคำนึงถึงความเป็นอยู่ที่ดีในอนาคตของตัวเองและคนอื่นในสังคม

• ด้านการเมือง ต้องผลักดันให้เกิดระบบถ่วงดุลที่ดี ที่จะทำให้นโยบายสาธารณะในด้านต่าง เป็นไปโดยคำนึงถึงความสมดุลระหว่างระยะสั้นและระยะยาว แต่เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย ตัวอย่าง Jean-Claude Juncker อดีตนายกรัฐมนตรีของลักเซมเบิร์ก และอดีตประธานคณะกรรมาธิการยุโรป เคยกล่าวไว้ว่า

นักการเมืองทุกคนรู้ดีว่าควรทำอะไร ที่เราไม่รู้คือเมื่อเราทำสิ่งเหล่านั้นแล้วเราจะได้รับเลือกอีกสมัยได้อย่างไร’ (We all know what to do, but we don’t know how to get re-elected once we have done it.) จึงเป็นหน้าที่ของทุกภาคส่วนที่จะต้องช่วยให้การตัดสินใจเป็นไปในทางที่เหมาะสมมากขึ้น

ในบริบทของประเทศไทยเอง ก็มีตัวอย่างของนโยบายในอดีตที่ให้น้ำหนักกับการแก้ปัญหาเฉพาะหน้ามากเกินไป ซึ่งมีงานวิจัยที่ชี้ให้เห็นว่านโยบายเหล่านั้นอาจส่งผลต่อประเทศในระยะยาว เช่น งานวิจัยของสถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์ แสดงให้เห็นว่า

นโยบายพักหนี้เกษตรกรในอดีตที่ทำในวงกว้าง ทำอย่างต่อเนื่องยาวนาน และไม่มีเงื่อนไขการรักษาวินัยทางการเงินที่ดี ส่งผลให้ลูกหนี้กว่า 60% มีโอกาสเป็นหนี้เรื้อรัง และกว่า 45% มีโอกาสผิดนัดชำระหนี้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

ในทางกลับกัน นโยบายที่จะเป็นประโยชน์ต่อประเทศในระยะยาว ที่อาจต้องแลกมาด้วยต้นทุนในวันนี้ ก็เป็นไปได้ยากที่จะเกิดขึ้น เช่น การเพิ่มรายได้ภาษีในรูปแบบต่างๆ ที่จะทำให้ฐานะทางการคลังของประเทศยั่งยืนขึ้น หรือการเพิ่มงบประมาณด้านการศึกษา ที่จะทำให้เราสามารถพัฒนาทรัพยากรบุคคลของประเทศให้พร้อมสำหรับวันข้างหน้า

สิ่งต่างๆ เหล่านี้ กำลังทำให้ประเทศเสียโอกาสที่จะพัฒนาศักยภาพ เสริมสร้างเสถียรภาพในระยะยาว ก่อให้เกิดปัญหาหนี้’ ที่แม้จะไม่ใช่เรา แต่คนที่อยู่ในประเทศของเราต้องแบกรับในอนาคต

เช่นเดียวกับนโยบายสาธารณะอื่นๆ นโยบายการเงินมีต้นทุนและผลประโยชน์ที่ผู้ดำเนินนโยบายต้องพยายามรักษาสมดุลทั้งในระยะสั้นและระยะยาว

ธนาคารกลางทั่วโลก มีพันธกิจที่คล้ายคลึงกันคือ ไม่เพียงต้องการเห็นเศรษฐกิจขยายตัว แต่ต้องเสริมสร้างให้เกิดการเติบโตอย่างยั่งยืนด้วย ซึ่งต้องอาศัยเสถียรภาพด้านราคาและเสถียรภาพระบบการเงินเป็นพื้นฐานสำคัญ

ธนาคารกลางจึงถูกออกแบบมาเพื่อรองรับการดำเนินนโยบายการเงินที่ต้องให้น้ำหนักกับเสถียรภาพในระยะยาว ถึงแม้การกระตุ้นเศรษฐกิจจะสามารถทำได้ผ่านการกำหนดอัตราดอกเบี้ยให้อยู่ในระดับต่ำซึ่งจะสนับสนุนให้เศรษฐกิจขยายตัวได้รวดเร็วในระยะสั้น

แต่มักต้องแลกมาด้วยภาวะเงินเฟ้อ และอาจเป็นการสะสมความเปราะบางในระบบเศรษฐกิจจากการก่อหนี้เกินตัวหรือพฤติกรรมเก็งกำไรของนักลงทุน ซึ่งจะฉุดรั้งการเติบโตในระยะยาวหรือนำไปสู่วิกฤตร้ายแรงได้

หน้าที่ในการมองยาว’ ของธนาคารกลางจึงต้องมาพร้อมกับอิสระในการดำเนินงานเพื่อให้บรรลุพันธกิจดังกล่าว หลายๆ ครั้งในการทำหน้าที่ของธนาคารกลางต้องดำเนินนโยบายในลักษณะที่สวนทางกับวัฏจักรเศรษฐกิจ ซึ่งกระทบต่อทุกภาคส่วนเป็นวงกว้างและย่อมมีทั้งผู้ที่ได้ประโยชน์และเสียประโยชน์

ดังนั้น หากธนาคารกลางไม่อิสระเพียงพอก็อาจทำให้เสียหลักการของการมองยาว’ ได้ งานวิจัยจำนวนมากชี้ให้เห็นว่าความเป็นอิสระและความน่าเชื่อถือของธนาคารกลางเป็นปัจจัยสำคัญในการทำให้เกิดเสถียรภาพด้านราคา

ตัวอย่างงานวิจัยของ IMF ในปี 2023  พบว่า ประเทศที่ธนาคารกลางมีความเป็นอิสระและน่าเชื่อถือ สามารถยึดเหนี่ยวการคาดการณ์เงินเฟ้อได้ดีกว่าและประสบความสำเร็จในการดูแลเงินเฟ้อให้อยู่ในระดับต่ำ

ที่ผ่านมา ธนาคารแห่งประเทศไทย ได้ดำเนินการในหลายๆ ด้านเพื่อช่วยให้ระบบเศรษฐกิจของประเทศมีเสถียรภาพและประสิทธิภาพในระยะยาว ไม่ว่าจะเป็นการดำเนินนโยบายการเงินที่คำนึงถึงเสถียรภาพเป็นสำคัญ โดยใช้ policy mix ที่เหมาะสม รวมถึงการให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายอยู่ในระดับที่สอดคล้องกับแนวโน้มเศรษฐกิจและเงินเฟ้อ

ในขณะเดียวกันต้องไม่เอื้อให้เกิดการสะสมความเสี่ยงเชิงระบบ การออกมาตรการการให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบและเป็นธรรม (Responsible Lending) เพื่อยกระดับมาตรฐานของสถาบันการเงินให้มีความรับผิดชอบต่อลูกหนี้ตลอดวงจรของการเป็นหนี้ และส่งเสริมให้ประชาชนไทยมีวินัยทางการเงิน

อันจะเป็นรากฐานสำคัญในการแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนอย่างยั่งยืน และการพัฒนาระบบการเงินที่ตอบสนองความต้องการของผู้ใช้บริการทุกกลุ่มอย่างเท่าเทียมและทั่วถึง เพื่อสนับสนุนครัวเรือนและธุรกิจในการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจในโลกยุคใหม่

งานสัมมนาวิชาการธนาคารแห่งประเทศไทยในปีนี้ จัดขึ้นภายใต้หัวข้อ ‘หนี้: The Economics of Balancing Today and Tomorrow’ ด้วยจุดประสงค์สองประการด้วยกัน

• หนึ่ง เพื่อชี้ให้เห็นว่าการตัดสินใจที่คำนึงถึงผลประโยชน์ระยะสั้นโดยไม่คำนึงถึงผลกระทบในระยะยาวเท่าที่ควรในทุกๆ ระดับ ได้สร้าง กำลังสร้าง และจะสร้าง ต้นทุนให้กับประเทศมากมาย

• และสอง เพื่อชี้ให้เห็นว่าการตัดสินใจที่ไม่คำนึงถึงอนาคตเหล่านี้ หลายครั้งก็เกิดจากพฤติกรรมของตัวปัจเจกเอง แต่ในหลายครั้งก็เกิดจากสถาบัน’ ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม การเมือง ที่เอื้อ’ และสนับสนุนให้คนคำนึงถึงผลประโยชน์ในระยะสั้นๆ

ดังนั้น กลไกการแก้ปัญหา จำเป็นต้องแก้ทั้งสองด้านนี้ไปด้วยกัน และทุกขณะที่เราปล่อยผ่านปัญหาหนี้’ เหล่านี้ก็จะสะสม ฝังรากลึกขึ้น ทำให้ต้นทุนในการแก้ไขปัญหาสูงขึ้น การเริ่มตั้งแต่การตระหนักรู้ถึงปัญหา เป็นกุญแจสำคัญที่จะนำไปสู่การแก้ไข ซึ่งไม่มีใครหรือหน่วยงานใดสามารถแก้ปัญหาหนี้’ ได้เพียงลำพัง

หากแต่ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐ ภาคเอกชน หรือประชาสังคม รวมทั้งทุกท่านที่กำลังฟังอยู่ โดยอาจจะเริ่มจากสิ่งที่เราทำได้ คือการสำรวจและพยายามปรับพฤติกรรมที่ไม่คำนึงถึงอนาคตของตัวเอง ศึกษานโยบายต่างๆ และเรียกร้องผ่านกลไกประชาธิปไตยให้ผู้กำหนดนโยบายออกนโยบายที่คิดถึงผลระยะยาวต่อประเทศ

ท้ายที่สุดนี้ ขอขอบคุณคณะผู้วิจัย ผู้ทรงคุณวุฒิ และผู้ร่วมเสวนาทุกท่านที่ให้เกียรติมาร่วมงานสัมมนาวิชาการของธนาคารแห่งประเทศไทย หวังเป็นอย่างยิ่งว่า งานสัมมนาวิชาการครั้งนี้ จะช่วยสร้างความตระหนักรู้ และจุดประกายให้พวกเราทุกคนมาร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการผลักดันให้สังคมไทยมีหนี้’ อย่างสมดุล เพื่อสร้างความเป็นอยู่ที่ดีของคนในสังคม ทั้งในวันนี้ และวันหน้า

podcast

LATEST
OUR PICKS
HOT
กำลังโหลดบทความถัดไป...

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้ และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณเพื่อเราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมกับความสนใจของคุณ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมเราจะไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาและโฆษณาได้ไม่ตรงกับความสนใจของคุณ
    รายละเอียดคุกกี้

บันทึกการตั้งค่า