การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ถูกจับตามองจากทั่วทุกมุมโลก เพราะนอกจากจะเป็นประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่แล้ว การตัดสินใจต่างๆ ของสหรัฐ ไม่ว่าจะทางสังคมก็ดี เศรษฐกิจก็ดี การเมืองก็ดี ล้วนส่งผลต่อประเทศเพื่อนบ้าน ไม่ว่าจะใกล้ไกลทั้งสิ้น
ตลาดหุ้นก็เป็นหนึ่งในพื้นที่ๆ ถูกกระทบจากการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ เพราะต้องบอกว่า นโยบายของ 2 พรรค ‘รีพับลิกัน’ และ ‘เดโมแครต’ รอบนี้ มีความแตกต่างกันพอสมควร ทำให้ชัยชนะที่กำลังจะได้มา ส่งผลต่อตลาดหุ้นทั่วโลกแตกต่างกัน
TODAY Bizview รวบรวมผลกระทบต่อตลาดหุ้นสหรัฐฯ ตลาดหุ้นเอเชีย และตลาดหุ้นไทย จะเป็นอย่างไร หาก ‘โดนัลด์ ทรัมป์’ จากรีพับลิกันชนะ หวนคืนตำแหน่งอีกครั้ง และจะเป็นอย่างไร หาก ‘กมลา แฮร์ริส’ จากเคโมแครต คว้าชัยมาให้พรรคได้เป็นสมัยที่ 2
‘อภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล’ CISA ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด วิเคราะห์ว่า สำหรับการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ปัจจุบันตลาดประเมินโอกาสชนะของอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ สูงกว่ากมลา แฮร์ริส และคาดว่าพรรครีพับลิกันจะควบอำนาจมีที่นั่งส่วนใหญ่ในสภา
หากเป็นไปตามนั้น บล.ทิสโก้คาดว่า ตลาดหุ้นสหรัฐฯ และอัตราผลตอบแทนตราสารหนี้สหรัฐฯ (Bond Yield) จะมีทิศทางขาขึ้นหลังการเลือกตั้ง แต่จะมาพร้อมกับความผันผวนที่เพิ่มขึ้นด้วย ขณะที่แนวโน้มกำไรตลาดหุ้นไทยที่ยังถูกหั่นลง อาจกดดันตลาดหุ้นไทยเดือน พ.ย.แกว่งพักฐานต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม บล.ทิสโก้มองว่าเป็นจังหวะในการสะสมหุ้นที่คาดกำไรจะออกมาดีทั้งในไตรมาส 3 ปี 2567 ต่อเนื่องถึงไตรมาส 4 ปี 2567 และมีความปลอดภัยจากความไม่แน่นอนของผลการเลือกตั้งสหรัฐฯ ด้วย
สำหรับหุ้นเด่นที่ บล.ทิสโก้แนะนำในเดือน พ.ย. คือ ADVANC AMATA BEM COM7 CPALL MTC และ TASCO ด้านแนวรับสำคัญของดัชนีหุ้นไทยเดือนนี้อยู่ที่ 1,430 จุด และแนวรับถัดไปที่ 1,400-1,410 จุด และแนวต้านสำคัญอยู่ที่ 1,485-1,490 จุด 1,500-1,520 จุด ตามลำดับ
บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด ระบุไว้ในบทวิเคราะห์เมื่อวันที่ 1 พ.ย. 2567 ว่า วันที่ 5 พ.ย. 2567 เป็นอีกเหนึ่งเหตุการณที่ทั่วโลกจับตามอง คือ เป็นวันเลือกตั้งสหัรฐฯ คนที่ 47 ซึ่งสหรัฐฯ เป็นประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ทำให้การเปลี่ยนแปลงผู้นำ ไปจนถึงการกำหนดนโยบาย ล้วนส่งผลกับประเทศโดยรอบ
ปัจจุบันคะแนนความนิยมของโดนัลด์ ทรัมป์ เร่งขึ้นมาสูสีกับกมลา แฮร์ริสคุณ โดยในเว็บพนันถูกกฎหมายให้อัตราต่อรองทรัมป์ชนะ 65%
ส่วนนโยบายหาเสียงของทั้ง 2 พรรค มีความแตกต่างกันสุดขั้ว ทำให้ฝ่ายวิจัยฯ ประเมินว่า ถ้าพรรครีพับลิกันชนะ ตลาดหุ้นไทยมีโอกาสผันผวนขึ้น จากผลกระทบของการเก็บภาษี 100% ประเทศจีน หรือประเทศในกลุ่ม BRICS, ค่าเงินมีโอกาสผันผวน และเงินเฟ้อสหรัฐฯ อาจยืนสูงนานขึ้น
แต่ยังมีหุ้นที่ได้ประโยชน์ คือ หุ้นกลุ่มขนส่ง จากการเร่งสั่งสินค้าก่อนมีการขึ้นภาษี RCL PSL SJWD และ WICE รวมถึงหุ้นกลุ่มนิคมอุตสาหกรรม จากการเปิดโรงงานในประเทศอื่นๆ เพิ่มเติม เพื่อลดความเสี่ยงจากประเด็นกำแพงภาษี AMATA WHA และ ROJNA
ในทางกลับกันหากพรรคเดโมแครตชนะในสมัยที่ 2 มองว่า สภาพแวดล้อมดีต่อตลาดหุ้นไทย ตามนโยบายการเพิ่มภาษีเงินได้นิติบุคคล (Corporate Tax) สหรัฐจาก 21% เป็น 28% ส่งผลลบต่อกำไรบริษัทจดทะเบียน ทำให้กระแสเงินลงทุนต่างชาติ (Fund Flow) มีแนวโน้มไหลออกจากสหรัฐไปประเทศอื่นๆ
ส่วนเงินเฟ้อสหรัฐฯ มีโอกาสปรับตัวเข้าสู่กรอบเป้าหมาย โดยมีหุ้นที่ได้บรรยากาศ (Sentiment) บวก คือ หุ้นได้ประโยชน์บาทแข็ง GULF GPSC และ BGRIM รวมถึงหุ้นวัฏจักรดอกเบี้ยขาลง MTC TIDLOR SAWAD และ TISCO