12 หุ้นโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์ฯ มีกำไรรวมกันกว่า 4 หมื่นล้านบาท ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2567 ที่ผ่านมา โดย GULF ยังครองแชมป์กำไรสูงสุด 1.4 หมื่นล้านบาท
TODAY Bizview รวบรวมรายงานผลประกอบการหุ้นโรงไฟฟ้าที่ซื้อขายอยู่ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย งวด 9 เดือนแรกของปี 2567 โดยพบว่า 12 หุ้นโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ (ตามรูป) มีกำไรรวมกันกว่า 40,174 ล้านบาท
บมจ.กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ (GULF) ยังเป็นบริษัทที่ทำกำไรสูงสุด 14,269 ล้านบาท และเป็นบริษัทที่มีอัตรากำไรเติบโตมากที่สุดในกลุ่มที่ 41% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) อีกด้วย
รองลงมาเป็น บมจ.ผลิตไฟฟ้า (EGCO) กำไร 5,517 ล้านบาท ลดลง 6% YoY ส่วนอันดับ 3 คือ บมจ.ราช กรุ๊ป (RATCH) กำไร 5,485 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15% YoY
สาเหตุที่ GULF ทำกำไรได้ค่อนข้างสูง หากดูจากบทวิเคราะห์ พบว่า ได้แรงหนุนจากรายการพิเศษที่พลิกกลับมาเป็นกำไรราวๆ 1,300 ล้านบาท จากเดิมรายการดังกล่าวขาดทุนอยู่ประมาณ 40 ล้านบาท
มีดี ก็ต้องมีแย่ โรงไฟฟ้าที่อัตราทำกำไรลดลงหนักสุดๆ เลย คือ บมจ.พลังงานบริสุทธิ์ (EA) ที่แม้จะทำไรไปได้ 1,852 ล้านบาท แต่ลดลงค่อนข้างหนัก 71% YoY สาเหตุจากธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้า (EV)
สำหรับการลงทุนในกลุ่มนี้ ‘นลินรัตน์ กิตติกำพลรัตน์’ นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เอเซีย พลัส จำกัด ระบุว่า ภาพรวมกำไรของกลุ่มโรงไฟฟ้าออกมาต่ำกว่าที่ประเมินเอาไว้ ทำให้ฝ่ายวิจัยลดน้ำหนักการลงทุนในกลุ่มโรงไฟฟ้าลง
โดยปัจจัยกดดันมาจาก 3 เรื่อง คือ 1. กำไรที่ปรับตัวลดลงในช่วงสั้น 2. การเปิดรับซื้อไฟฟ้าจากภาครัฐที่ยังไม่มีความชัดเจน และ 3. นโยบายเลือกตั้งสหรัฐที่ยังต้องจับตาดู จึงแนะนำรอจังหวะลงทุนหลังงบไตรมาส 4 ปี 2567 ออก ซึ่งนอกจากจะรับรู้ช่วงโลว์ซีซันของธุรกิจไปแล้ว จะเริ่มเห็นความชัดเจนการเปิดรับซื้อไฟของรัฐบาลอีกด้วย
ส่วน ‘จักรพงศ์ เชวงศรี’ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กสิกรไทย ระบุว่า คงมุมมองเชิงบวกต่อกลุ่มโรงไฟฟ้า โดยคาดว่า โรงไฟฟ้าเอกชนขนาดเล็ก (SPP) จะกลับมามีกำไรอย่างแข็งแกร่งในปี 2568-2569
โดยคาดว่าอัตรากำไรจะดีขึ้น เพราะมีแนวโน้มจะได้รับประโยชน์จากอัตรากำไรที่สูงขึ้นในกลุ่มผู้ใช้ไฟฟ้าภาคอุตสาหกรรม ตามราคาก๊าซที่ลดลง ขณะที่การลงทุน ยังคงเลือก บมจ.โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ (GPSC) เป็นหุ้นเด่นในกลุ่มผู้ผลิตไฟฟ้าแบบดั้งเดิม
ส่วนประเด็นร้อนแรงในโซเชียลเกี่ยวกับค่าไฟฟ้าแปรผัน (ค่า Ft) ว่าเอื้อต่อนายทุนโรงไฟฟ้าหรือไม่นั้น ‘วิจิตร อารยะพิศิษฐ’ นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐาน บล.ลิเบอเรเตอร์ อธิบายว่า โรงไฟฟ้าจะได้ประโยชน์จากค่า Ft ก็ต่อเมื่อเป็นโรงไฟฟ้า SPP หากเป็นผู้ผลิตไฟฟ้ารายใหญ่ (IPP) จะไม่ได้ประโยชน์
ดังนั้น หากจะลงทุนในหุ้นโรงไฟฟ้าที่แปรผันตามค่า Ft จะต้องเลือกหุ้นโรงไฟฟ้าที่มีสัดส่วน SPP ค่อนข้างเยอะ ถึงจะได้รับผลกระทบ (ทั้งเชิงบวกและลบ) ได้มาก เช่น บมจ.บี.กริม เพาเวอร์ (BGRIM) และ GPSC ซึ่งเป็นการขายไฟให้นิคมอุตสาหกรรม
ส่วน GULF ช่วงหลังจะเห็นว่า หันมาทำโรงไฟฟ้าแบบ IPP ค่อนข้างเยอะ อีกทั้งมีการกระจายพอร์ตไปลงทุนในธุรกิจอื่นๆ ด้วย แม้ราคาหุ้นจะเบี่ยงตามข่าวค่า Ft ก็จริง แต่ผลบวกหรือลบได้ไม่มากเมื่อเทียบกับโรงไฟฟ้าข้างต้น