SHARE

คัดลอกแล้ว

พิมเสนแลกเกลือ ท่าเรือแลกธรรมชาติ เมื่อแลนด์บริดจ์กระทบมากกว่า แค่ภาคใต้ 14 จังหวัด

ชาวมอแกนหาปลาได้เพียงแค่ฟังเสียงน้ำ
แยกชนิดปลาออกได้เพียงพึ่งเครื่องมือชนิดเดียว คือ หู
แต่ถ้ามีท่าและเรือขนาดใหญ่ ไม่เพียงแค่ปลาที่หายไป แต่ไม่ต่างอะไรจากความพิการหูหนวก เมื่อท่าเรือน้ำลึกกำลังผลักชุมชนให้เปราะบางกว่าเดิม แลนด์บริดจ์มีอะไรที่ต้องคิดมากกว่าแค่การพัฒนาเศรษฐกิจภาคใต้

“มีชาวมอแกนคนหนึ่ง เขาบอกว่า เขากังวลมากกับโครงการนี้ เพราะมันจะทำให้ดอนที่เขาหาปลา ระบบนิเวศเสื่อมโทรมลง หากมีการขุดลอกและถมทะเล จะทำให้เขาฟังเสียงปลาไม่ได้อีก” – น้ำนิ่ง อภิศักดิ์ ทัศนี หนึ่งในทีมศึกษาวิจัย และ กลุ่ม Beach For Life กล่าวขณะที่อธิบายการศึกษาผลกระทบและเปิดตัวรายงาน “Land bridge Effect : เสียงสะท้อน ผลกระทบท่าเรือน้ำลึก

โดยเวทีเสวนาได้เริ่มจากการปูรากแนวคิด การสร้างเมกะโปรเจ็กท์ขนาดใหญ่ ว่าไม่ใช่สิ่งทันสมัย เมื่อย้อนไปดูประวัติศาสตร์ก็จะพบว่า ถูกใช้มาตั้งแต่สมัยพระนารายณ์ ที่ในยุคนั้นก็มีความคิดจะขุดคลองเพื่อเชื่อมทะเล ก่อนที่จะมาในปี พ.ศ. 2532 ยุคพลเอกเปรม และ ชาติชาย ชุณหะวัณ ที่แนวคิดนี้ชัดเจนมาก จากนโยบาย Southern Sea Board

ซึ่งมวลรวมของเวทีนี้มองว่า แนวคิดนั้นอาจไม่ใช่แนวคิดการพัฒนาที่จะนำไปสู่ความยั่งยืน ทั้งมิติสังคม เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อมของโลกปัจจุบัน

“หากบ้านของคุณถูกมองว่า เป็นพื้นที่ไร้ศักยภาพ ต้องถูกพัฒนา เป็นพื้นที่รายได้น้อย คุณจะรู้สึกอย่างไร เพราะในขณะที่คุณมองเห็น ทั้งคุณค่าและความหมายของพื้นที่นั้น นี่คือสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในจังหวัดที่จะเกิดโครงการแลนด์บริดจ์ ที่หลายจังหวัดถูกมองว่า จำเป็นต้องมีโครงการนิคมอุตสาหกรรมลงไป เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ” สุภาภรณ์ มาลัยลอย ผู้จัดการมูลนิธินิติธรรมสิ่งแวดล้อม (EnLAW) กล่าว
[ ในความเป็นจริง พื้นที่นี้อาจร่ำรวยอยู่แล้ว ]
โดยน้ำนิ่ง ได้ยกตัวอย่างผลการสำรวจพบว่า ชาวประมงที่แหลมอ่าวอ่าง จ.ระนอง มีรายได้อยู่ที่ 31,670.85 บาทต่อครัวเรือนต่อเดือน ซึ่งสูงกว่ารายได้เฉลี่ยของจังหวัดระนอง 15% นั่นสะท้อนให้เห็นว่าอาชีพประมงพื้นบ้านไม่ใช่อาชีพที่รายได้น้อย และคิดเป็น 559.80 ล้านบาทต่อปี ที่นี่เป็นเพียงแค่ 2 อำเภอรวมกันเท่านั้น
หรืออย่างดอนตาแพ้ว ซึ่งเป็นดอนที่ใหญ่สุดฝั่งอ่าวระนอง มีสัตว์น้ำมากกว่า 164 ชนิด ทั้งสัตว์น้ำเศรษฐกิจและสัตว์น้ำระบบนิเวศ รวมถึงพยูน และปลาเมี่ยน (ชื่อเรียกท้องถิ่น) มีมูลค่าสูงกว่ากิโลกรัมละ 1,300 – 1,500 บาท และเกาะเปียกฝั่งอ่าวระนองเป็นจุดเดียวที่หาปลาชนิดนี้ได้ ซึ่งหากมีโครงการแลนด์บริดจ์ก็จะทับพื้นที่ทำกินและตัวเลขนี้ก็อาจจะหายไป

โครงการแลนบริดจ์ชุมพร – ระนอง เป็นโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ ที่มุ่งเชื่อมโยงการขนส่งระหว่างอ่าวไทยและทะเลอันดามัน พูดง่ายๆ ก็คือ โครงการเชื่อม 2 ฝั่งทะเลด้วยการขนส่ง เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจภาคใต้ โดยจะมีการสร้างท่าเรือน้ำลึกสองฝั่งทะเล รถไฟรางคู่ และทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง (มอเตอร์เวย์) ที่ต้องการเงินลงทุนกว่า 1 ล้านล้านบ้าน

แต่หากมองอีกมุมหนึ่งก็คือ โครงการนี้ถูกตั้งคำถามถึงผลกระทบต่อมิติสังคม สิ่งแวดล้อม หรือในมิติเศรษฐกิจเอง ที่รัฐบาลวาดฝันให้โครงการนี้กระตุ้นเศรษฐกิจ ที่ในความเป็นจริงอาจไม่ได้เป็นแบบนั้น สิ่งนี้จุดประเด็นทางสังคม ให้นักวิชาการ นักสิ่งแวดล้อม และประชาชนทั่วไป เริ่มต้นศึกษาผลกระทบที่จะเกิด ทั้งมิติเศรษฐกิจ สังคม สมุทรศาสตร์ ชายฝั่ง และกฎหมาย

รวมกว่า 8 เดือนเพื่อศึกษาผลกระทบจากโครงการฯ จนคลอดเป็นหนังสือ “Land Bridge Effect ผลกระทบโครงการท่าเรือน้ำลึกเเลนด์บริดจ์ชุมพร-ระนอง” เพื่อเป็นข้อมูลในการถ่วงดุลและตรวจสอบ พร้อมกับเป็นเครื่องยืนยันว่า การพัฒนานี้แท้จริงแล้วตอบโจทย์ใคร และเพื่อเป็นพื้นที่ของประชาชนในการมีส่วนร่วมต่อโครงการนี้ ด้วยความพยายามของประชาชนเอง         

[ คนทั้งประเทศจะเสียอะไรจากเมกะโปรเจ็กท์นี้? ]

“จริงๆ ผลกระทบเรื่องนี้ไม่ใช่เฉพาะคนใต้ มันคือเรื่องของคนทั้งประเทศ ทรัพยากรธรรมชาติ ระบบนิเวศชุมพร – ระนอง หรือภาคใต้ เป็นเรื่องของคนทั้งประเทศ” สุภาภรณ์กล่าว

ตัวอย่างหนึ่งก็คือ กุ้งล็อบสเตอร์ที่เรากินที่ภูเก็ต ก็คือ ลูกกุ้งที่ถูกจับและเลี้ยงจากพื้นที่อ่าวอ่าง โดย ดร.อาภา หวังเกียรติ จากมหาวิทยาลัยรังสิต ก็ได้อธิบายว่า ชุมชนบ้านเกาะหาดชายดำ หนึ่งวิถีของชาวบ้านที่นี่ คือ การจับกุ้งล็อบสเตอร์ตัวเล็ก แล้วเอามาเลี้ยงให้โตก่อนที่จะส่งไปขายที่ภูเก็ต และยังมีทัวร์นักท่องเที่ยวญี่ปุ่น ที่ทำทัวร์เพื่อมากินล็อบสเตอร์โดยเฉพาะ นี่จึงตัวชี้วัดหนึ่งว่า ไม่ใช่ลำพังเพียงพื้นที่โครงการ 5 กิโลเมตรเท่านั้น ที่จะได้รับผลกระทบ แต่นิเวศบริการที่นี่กำลังดูแลปากท้องของคนพื้นที่อื่นด้วย

หรืออีกตัวอย่างที่น้ำนิ่ง หนึ่งในผู้วิจัยรายงานฉบับนี้ ได้ยกตัวอย่าง แมงกะพรุน ที่สร้างรายได้ให้วิถีประมงพื้นบ้านระนอง ด้วยการหมักเกลือส่ง High Grade ออกนอกไม่ว่าจะเป็นเกาหลี ญี่ปุ่น จีน และสร้างรายได้ให้กับชาวประมงพื้นบ้านตัวละ 5 บาท ที่การตักช้อนแมงกะพรุนหลังฤดูมรสุม จะจับได้มากกว่าวันละ 1,500 กิโลกรัมต่อวันต่อลำ ที่เสี่ยงได้รับผลกระทบจากการสร้างโครงการท่าเรือน้ำลึก ซึ่งเป็นเพียงส่วนหนึ่งของโครงการแลนด์บริดจ์เท่านั้น

ยังมีนิเวศบริการที่ไม่สามารถประเมินค่าได้อีกมาก สิ่งนี้นำมาสู่ข้อเสนอและการวิพากษ์ ถึงขั้นตอนการประเมินผลกระทบโครงการใหญ่อย่าง EIA ของไทย ที่มีโครงสร้างล่าหลัง โดย ดร.อาภา มองว่า

การศึกษาระดับโครงการใหญ่แบบนี้จำเป็นมากที่จะต้องศึกษาหลายมิติ ไม่ว่าจะ การบริการด้านการผลิตภัณฑ์จากระบบนิเวศ อย่างเรื่องอาหาร น้ำ หรือทรัพยากรที่เราใช้จากธรรมชาติ การบริการด้านการสนับสนุน อย่างเรื่องอากาศ การผลิตออซิเจน การกักเก็บคาร์บอน หรือแม้แต่เรื่องดิน การบริการด้านการควบคุม เช่น ป้องกันการกัดเซาะ การควบคุมเรื่องระบบนิเวศ การผสมเสร และการบริการด้านวัฒนาธรรม เช่น การเป็นพื้นที่ท่องเที่ยว แหล่งศึกษาความรู้ สถานที่ที่ทำให้เกิดแรงบันดาลใจ ซึ่งมีความสำคัญต่อภาพรวมทั้งหมด

“กระบวนการที่จะตัดสินใจโครงการขนาดใหญ่ เฉพาะ EIA มันไม่พอ และ 20 ปี ผ่านไปการศึกษา EIA โครงสร้างไม่เคยเปลี่ยนเลย” ดร.อาภา กล่าวในเวทีเสวนาเปิดตัวรายงานฯ และได้ขยายความว่า โลกเปลี่ยน มุมมองความคิดเปลี่ยน อย่างเรื่องนี้เองโลกคิดถึงมุมมองที่หลายคนน่าจะรู้จัก ทั้งเรื่องความยั่งยืน Net-Zero การให้บริการของระบบนิเวศ แต่โครงสร้าง EIA ไทยก็ยังคิดบนฐานเดิมว่า เก็บน้ำได้เท่าไร เก็บดินได้เท่าไร สร้างเม็ดเงินอย่างไร การศึกษานี้จึงสำคัญมากที่จะทำให้เรามองเห็นมิติอื่นๆ

แต่อีกเรื่องที่เป็นปัญหาอย่างมาก ของการทำรายงานประเมินผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม (EIA) ก็คือ การขีดเส้นการศึกษาผลกระทบตามศักยภาพทางภูมิศาสตร์เท่านั้น เช่น การขีดว่าพื้นที่รัศมี 5 กิโลเมตรนี้จะได้รับผลกระทบ ซึ่งความเป็นจริงของพื้นที่ อย่างระบบนิเวศทะเล หรือ อ่าว นั้นคิดแบบเดียวกันไม่ได้

“ยกตัวอย่าง ชุมชนบ้านเกาะหาดชายดำ อยู่ในรัศมี 6 กิโลเมตร ก็จะไม่อยู่ในพื้นที่ที่รายงายประเมินว่า ได้รับผลกระทบจากโครงการแลนด์บริดจ์ ชุมชนนี้เป็นชุมชนพหุวัฒนธรรมมากๆ มาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 2 ทั้งไทย จีน พม่า พุทธ มุสลิม 760 คนอยู่ในชุมชนนี้ แต่คนในชุมชนนี้ 90% หากินที่ดอนตาแพ้ว ดังนั้นเศรษฐกิจของชุมชนนี้จะได้รับผลกระทบจากโครงการท่าเรือน้ำลึกฯ แน่นอน” ดร.อาภา กล่าว

ซึ่งสอดคล้องกับสิ่งที่น้ำนิ่งได้กล่าวถึงได้ตอนเกริ่นเวทีว่า 

“ดอนตาแพ้ว เป็นดอนขนาดใหญ่ 2-3 พันไร่ หลังเกาะพยาม ชาวบ้านเรียกที่นั่นว่า ขุมทรัพย์ทะเลระนอง เพราะเวลาจับกุ้งได้ จะจับได้เป็นแพ และยังเป็นพื้นที่ที่มีแนวปะการังกว่า 1,400 ไร่ แต่ไม่ได้อยู่ในรัศมีการศึกษา เพราะกำหนดรัศมีไว้เพียงแค่ 5 กิโลเมตร แต่แนวปะการังนี้อยู่กิโลเมตรที่ 6 ที่ 7 ทำให้ไม่อยู่ในการศึกษาผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม เช่นเดียวกันกับสัตว์น้ำที่หลากหลาย ฝั่งชุมพรก็เหมือนกัน มีทรัพยากรที่หลากหลายมาก”

ในขณะเดียวกันการทำประมงพื้นบ้านก็เชื่อมต่อและส่งเสริมให้เกิดกิจกรรมอื่นๆ ที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็น การท่องเที่ยวชุมชน โฮมสเตย์ ทัวร์ การแปรรูป ส่งออกต่างประเทศและในประเทศ ซึ่งอย่างเกาะพิทักษ์ที่มีการท่องเที่ยวชุมชน แต่อยู่ห่างจากโครงการเพียงแค่ 1 กิโลเมตรเท่านั้น

[ ไม่ใช่แค่โครงสร้าง EIA ที่โบราณแต่กระบวนการ EIA จะทำได้ง่ายขึ้นจากการมี พ.ร.บ. ระเบียงเศรษฐกิจภ่ชาคใต้ หรือ SEC  ]

ท่าเรือแหลมอ่าวอ่าง จ.ระนอง ข้างเกาะพยาม ขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทยที่มีทั้งการขุดลอกและถมทะเล พื้นที่โครงการมากกว่า 6,000 ไร่ และเพราะเป็นโครงการที่ใหญ่ จึงต้องทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ หรือ EHIA ที่ปัจจุบันผ่านขั้นตอนการกำหนดขอบเขตโครงการ และการประเมินผลกระทบโครงการ รับฟังความคิดเห็นครั้งที่ 1 และ 2 แล้ว ปัจจุบันอยู่ในขั้นการทบทวนรายงาน และจะมีการเปิดรับฟังความคิดเห็นครั้งที่ 3 ต่อไป

ซึ่งหากผ่านทุกกระบวนการแล้ว รายงานฉบับนี้จะถูกส่งไปที่ สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม หรือ สผ. เพื่อให้คณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญให้ความเห็น ถ้าให้ความเห็นผ่าน ก็จะถูกส่งต่อให้คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ และให้รัฐมนตรีอนุมัติได้ ก่อนจะไปสู่ขั้นตอนต่อไป

“นี่คือขั้นตอนปกติ แต่สิ่งที่เกิดขึ้น คือ โครงการแลนด์บริดจ์ ถูกเสนอขึ้นมาพร้อมกับร่าง พ.ร.บ.ระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้ ซึ่งถ้าออกมาพร้อมกัน อาจส่งผลให้กระบวนการตามขั้นตอนปกติเปลี่ยนแปลงไป เพราะในร่าง พ.ร.บ. นี้ระบุไว้ว่า ขั้นตอนในการทำ EIA และขั้นตอนการพิจารณากำหนดไว้ 120 วัน แล้วดำเนินการต่อได้เลย ที่ปกติกระบวนการทบทวน EIA เป็นขั้นตอนที่ต้องใช้เวลา จึงทำให้การเกิดขึ้นของแลนด์บริดจ์ พร้อมกันกับร่าง พ.ร.บ.ระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้ ก็จะยิ่งเร่งทำให้โครงการนี้เกิดได้ง่ายขึ้น” น้ำนิ่ง อภิศักดิ์ ทัศนี

[ ผลกระทบท่าเรือน้ำลึงที่ไม่มีใครพูดถึง กับวิวหาดที่จะเปลี่ยนไปตลอดกาล ]

ไม่เพียงแค่นั้น จากรายงานผลกระทบโครงการฯ ยังได้ศึกษาผลกระทบของท่าเรือน้ำลึก โดยได้วิเคราะห์ว่า หากมีการสร้างและดำเนินการท่าเรือทั้ง 2 แห่ง หลังจากนั้น 5 และ 10 ปี จะเป็นอย่างไร

“ผลกระทบที่เกิดจากท่าเรือ มีคนน้อยมาที่มีข้อมูลนี้ หรือพูดเกี่ยวกับเรื่องผลกระทบจากท่าเรือน้ำลึก หน่วยงานฯ พูดถึงน้อยมาก พูดแต่พื้นที่ที่จะถูกเวรคืน นั่นก็เพราะว่าเป็นเรื่องยาก”

โดย รศ.ดร.สมปรารถนา ฤทธิ์พริ้ง จากคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้อธิบายด้วยการเชื่อมโยงผลกระทบ จากท่าเรือขนาดใหญ่ที่จะกระทบกับชายฝั่งทะเล ผ่านการอธิบายการพัดของคลื่น และการเปลี่ยนแปลงของชายฝั่ง เพื่อให้เห็นภาพว่า

“คลื่น หรือ กระบวนการชายฝั่งเกิดจากลม แล้วมาปะทะกับท่าเรือทำให้เกิดการตกตะกอนในอีกที่หนึ่ง เกิดการกัดเซาะในอีกที่หนึ่ง เกิดการทับถม กระแสน้ำไหลเร็วไหลช้าในอีกที่หนึ่ง”

ซึ่งการเปลี่ยนแปลงของคลื่นจะเปลี่ยนชายหาด โดยได้ยกตัวอย่าง การสร้างท่าเรือที่เราสามารถถอดบทเรียนได้ นั่นก็คือ แหลมฉบับ จ.ชลบุรี และ มาบตาพุด จ.ระยอง ที่สร้างมานานกว่า 40 ปีแล้ว ที่ท่าเรือมาบตาพุดที่ถมทะเลยาวออกไป 4 กิโลเมตร แต่ทำให้ชายหาดกัดเซาะไปกว่า 12 กิโลเมตร จนถึงปากน้ำระยอง ที่ตอนนี้กำลังถมทะเลเพื่อสร้างเฟสที่ 3 อีกเพื่อรองรับ EEC หรือ Eastern Economic Corridor โครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก

โดยที่แหลมฉบับ จ.ชลบุรี มีพื้นที่ทั้งหมด 5,257 ไร่ และ มาบตาพุด จ.ระยอง มีพื้นที่ทั้งหมด 3,362 ไร่ เมื่อมาดูที่โครงการท่าเรือน้ำลึก ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการแลนด์บริดจ์ ท่าเรือแหลมริ่ว จ.ชุมพร ขนาด 5,808 ไร่ และ ท่าเรืออ่าวอ่าง จ.ระนอง อีก 6,975 ไร่ จึงทำให้โครงการนี้เป็นโครงการสร้างท่าเรือที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยที่ไม่เคยมีมาก่อน ซึ่งมีขนาดใหญ่กว่าเกาะหลีเป๊ะ 2.8 เท่า สำหรับท่าเรือแหลมริ่ว และ 3.4 เท่าสำหรับสร้างท่าเรืออ่าวอ่าง

“และความแตกต่างก็คือ การถมทะเลที่แหลมฉบังและมาตราพุด เป็นการถมจากฝั่ง แต่ท่าเรือใหม่ 2 ท่าในโครงการแลนด์บริดจ์เป็นการถมในทะเลและเชื่อมสะพาน ซึ่งส่งผลกระทบที่แตกต่างเช่นกัน”

โดยการศึกษานี้ได้วิเคราะห์แนวชายฝั่ง ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจุบันในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ โดยเปรียบเทียบฉากทัศน์ที่มีโครงการกับไม่มีโครงการท่าเรือน้ำลึก 2 ฝั่งแลนด์บริดจ์ ว่าชายฝั่งจะแตกต่างกันอย่างไร โดยพบว่า แนวชายฝั่งจะเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ทั้งหาดทราย หาดโคลน ป่าชายเลน และกระแสน้ำ ไปจนถึงระดับน้ำก็จะเปลี่ยนแปลง

จากรายงาน ชายฝั่งอ่าวชุมพร หาดทองโข การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นเมื่อสร้างท่าเรือเฟสแรกเสร็จ เมื่อเวลาผ่านไป 5 ปี การทับถมน้อยลง 38 เท่าเทียบกับการวิเคราะห์กรณีไม่มีโครงการฯ ในขณะที่หากสร้างท่าเรือและดำเนินการเป็นเวลา 10 ปี จะเกิดการทับถมน้อยลง 7 เท่า และถึงแม้การกัดเซาะไม่ได้น่าเป็นห่วงมาก เพราะโครงการสร้างบังหาดไว้ แต่สิ่งที่น่ากลัวก็คือ กระแสน้ำจะช้าลง และตะกอนอาจจะไม่ตก

ส่วนการศึกษาอีกหาดก็คือ หาดบางน้ำจืด ผลกระวิเคราะห์ก็ออกมาในลักษณะเดียวกัน คือ ถ้าตรงไหนถมจะถมน้อยลง ตรงไหนกัดเซาะจะกัดเซาะน้อยลง ซึ่งหากจะประเมินผลกระทบก็ต้องไปศึกษาต่อว่า คนในพื้นที่ ระบบนิเวศได้ประโยชน์อะไรจากการทับถม การเป็นดอน เป็นหาด เป็นพื้นที่งอก ซึ่งสำหรับชายฝั่งอ่าวชุมพร จากตัวรายงานได้สรุปภาพรวมของผลกระทบ ว่า สิ่งแรกที่จะเกิดขึ้นคือ การไหลเวียนของน้ำลดลง

เนื่องจากมีท่าเรือขนาดใหญ่ที่อยู่หน้าอ่าว จะเกิดการสะสมของตะกอนอ่าวมากขึ้น จากกระแสน้ำที่ลดลง ตะกอนที่เคยถูกพัดออกไปยังทะเลเปิดจะถูกกั้นด้วยโครงสร้างท่าเรือ ตะกอนจะตกสะสมภายในอ่าวมากขึ้น และอาจส่งผลกระทบ ต่อประมงพื้นบ้านในการเดินเรือช่วงน้ำลง จากร่องน้ำที่ตื้นขึ้น นอกจากนี้การสร้างทางเรือน้ำลึก ยังทำให้คุณภาพน้ำแย่ลงจากการไหลเวียนของน้ำลด และคลื่นเกิดการเปลี่ยนแปลง

แต่สำหรับอ่าวอ่าง ชายหาดฝั่งระนอง จากตัวรายงานได้สรุปภาพรวมของผลกระทบ พบว่า กระทบต่อสัตว์น้ำจำนวนมาก จากกระแสน้ำขึ้นลงเร็วขึ้น น้ำขุ่น และช่วงที่กระแสน้ำไหลช้าลง ก็จะเกิดการสะสมตะกอนและมลพิษเพิ่มขึ้น อาจทำให้พื้นทรายใต้ทะเลเปลี่ยน ส่งผลทำให้แหล่งวางไข่ของสัตว์น้ำบางชนิดลดลง นอกจากนี้ พื้นที่ถมทะเลจากการก่อสร้างท่าเรือขนาดใหญ่ ก็จะกีดขวางการเดินทางไปของชาวประมงพื้นบ้าน

โดยการศึกษาผลกระทบฉบับนี้ มีวิธีการหนึ่งที่น่าสนใจมาก ก็คือ การศึกษาเส้นทางการจับสัตว์น้ำ ด้วยการติด GPS เรือจากท่าเรือแต่ละท่าเรือหลายหาด พบว่า เส้นทางเดินเรือและเรือจอดอยู่ในบริเวณดอนตาแพ้ว ฝั่งอ่าวระนอง และพื้นที่ที่จะกลายเป็นโครงการท่าเรือน้ำแลนด์บริดจ์ ซึ่งหากมีท่าเรือจริงก็จะทำให้ตัดขาดเส้นทางพื้นที่เดินเรือ ซึ่งเป็นพื้นที่หากินของคนในพื้นที่ หรืออาจจะทำให้ต้องเปลี่ยนพื้นที่ทำกิน ซึ่งเป็นทิศใต้ที่น้ำลึกเกินกว่าประมงพื้นบ้านจะหาปลาได้ หรือพื้นที่คุ้มครองและอุทยาน ซึ่งปกติจะเป็นพื้นที่อนุรักษ์

ทำให้โครงการนี้ถูกมองว่า ชุมพร – ระนองมีศักยภาพ ที่จะกลายเป็นท่าเรือ ตามแผนจริงหรือไม่? หรือไม่ต่างอะไรจากการเอาพิมเสนแลกเกลือ เอาท่าเรือแลกธรรมชาติที่จะพรากความอุดมสมบูรณ์ไปจากคนไทย

ที่ไม่ได้มีแค่วิถีประมงที่จะเปลี่ยนไปเท่านั้นรายงานผลกระทบฯ ของภาคประชาชน ยังสะท้อนในมุมของระบบนิเวศที่ประเมินมูลค่าไม่ได้ อย่าง การกักเก็บคาร์บอนในพื้นที่สงวนชีวมณฑล อ่าวระนอง ซึ่งประเมินเป็นมูลค่าคร่าวๆ อยู่ที่ประมาณ 7,518 ล้านบาท มูลค่ากรองของเสียได้ 1,257 ล้านบาท และมูลค่าของการเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของสัตว์น้ำกว่า 557 ล้านบาท ซึ่งสิ่งเหล่านี้สนับสนุนการท่องเที่ยวระนองที่มีมูลค่ากว่า 6,727 ล้านบาทต่อปี รวมนักท่องเที่ยวที่มาเยือนที่นี้อีก กว่าปีละ 1.4 ล้านคน

 

เนื้อหาจาก :  เวทีเสวนา “Land Bridge Effect เสียงสะท้อน ผลกระทบท่าเรือน้ำลึกโครงการเเลนด์บริจด์ชุมพร -ระนอง” วันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2568 เวลา 14.00 – 18.00 น. 

ขอบคุณรูปภาพจาก รายงาน Land Bridge Effect เสียงสะท้อน ผลกระทบท่าเรือน้ำลึกโครงการเเลนด์บริจด์ชุมพร -ระนอง

podcast

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้ และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณเพื่อเราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมกับความสนใจของคุณ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมเราจะไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาและโฆษณาได้ไม่ตรงกับความสนใจของคุณ
    รายละเอียดคุกกี้

บันทึกการตั้งค่า