SHARE

คัดลอกแล้ว

TISCO ESU หั่นจีดีพีไทยปี 2568 เหลือโต 2.8% พร้อมเตือนความเสี่ยงที่เศรษฐกิจไทยปีนี้อาจโตได้เพียง 2.1% ​หากแรงกดดันจากสงครามการค้ายังคงอยู่ และท่องเที่ยวฟื้นช้ากว่าคาด

‘เมธัส รัตนซ้อน’ นักเศรษฐศาสตร์อาวุโส ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ (TISCO ESU) กล่าวว่า จากความเสี่ยงของสงครามการค้าที่ทวีความรุนแรงขึ้น TISCO ESU ได้ปรับลดคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจไทย (GDP) ในปีนี้ลงมาอยู่ที่ 2.8% จากเดิมที่คาดไว้ 3.0%

ทั้งนี้ ยังมีความเสี่ยงเพิ่มเติมที่อาจกดดันเศรษฐกิจไทยในระยะข้างหน้า จากสองปัจจัยหลัก ได้แก่ 1. มาตรการภาษีตอบโต้จากสหรัฐฯ (Reciprocal Tariff) ซึ่งอาจกระทบเศรษฐกิจไทยประมาณ 0.35-0.50 ppt. และ

2.การฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวที่ล่าช้ากว่าคาด โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวชาวจีนที่นิยมเที่ยวภายในประเทศ และเลือกจุดหมายปลายทางที่ไกลขึ้น ซึ่งอาจจะกระทบเศรษฐกิจไทยประมาณ 0.20 ppt.

ดังนั้น หากปัจจัยเหล่านี้ยังดำเนินต่อไป เศรษฐกิจไทยในปีนี้อาจมีความเสี่ยงที่จะเติบโตได้เพียง 2.1% เท่านั้น ซึ่งต่ำกว่าปี 2567 ที่ขยายตัวได้ 2.5%

ด้านนโยบายการเงิน คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงเหลือ 2.00% ในการประชุมครั้งแรกของปี สวนทางกับท่าทีที่เข้มงวดของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ก่อนหน้านี้

โดย กนง.ให้เหตุผลว่าภาวะเศรษฐกิจอ่อนแอกว่าที่ประเมินไว้ และความเสี่ยงด้านลบเริ่มชัดเจนขึ้น แต่ยังย้ำว่าเป็นการ ‘ปรับสมดุลของดอกเบี้ย ไม่ใช่จุดเริ่มต้นของวัฏจักรดอกเบี้ยขาลง’

อย่างไรก็ตาม หากเศรษฐกิจไทยยังคงขยายตัวได้ที่ 2.8% คาดว่า กนง. อาจคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 2.00% ตลอดทั้งปี

แต่หากได้รับผลกระทบจาก 2 ปัจจัยเสี่ยงที่กล่าวไปข้างต้น มีโอกาสที่ กนง. จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีกราว 1 – 2 ครั้ง ในปีนี้ หรือลงมาอยู่ที่ 1.50-1.75% ต่อปี โดยขึ้นอยู่กับในระยะข้างหน้าจะมี Negative Shock เข้ามาเพิ่มเติมหรือไม่ โดยต้องจับตารายละเอียดนโยบายสงครามการค้าของสหรัฐฯ ในวันที่ 2 เม.ย.นี้

‘คมศร ประกอบผล’ หัวหน้า TISCO ESU เปิดเผยภาพรวมเศรษฐกิจโลกว่า ตลาดหุ้นโลกเผชิญกับแรงขายอย่างหนักในช่วงที่ผ่านมา โดยเฉพาะตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่ปรับลดประมาณ 10% จากจุดสูงสุด นำโดยหุ้นกลุ่ม ‘7 นางฟ้า’ ที่เคยเป็นผู้นำตลาดในช่วงขาขึ้น กลับกลายเป็นตัวฉุดตลาดในรอบนี้

โดยปัจจัยหลักที่กดดันตลาดมาจากความกังวลเกี่ยวกับเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่เริ่มอ่อนแอลงแรง ทำให้นักวิเคราะห์หลายคนมองว่าอาจนำไปสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย

นอกจากนี้ ความตึงเครียดของสงครามการค้าที่ยังไม่มีข้อยุติ ยิ่งเพิ่มความไม่แน่นอนให้กับตลาด ซึ่งต้องจับตาการประกาศนโยบายกำแพงภาษีของสหรัฐฯ ในวันที่ 2 เม.ย.นี้

ในภาวะตลาดผันผวนนี้ TISCO ESU แนะนำให้นักลงทุน ‘ปรับพอร์ต’ โดยเน้นอุตสาหกรรมที่ได้รับประโยชน์จากนโยบายการลดภาษีนิติบุคคล และกลุ่มที่มีรายได้หลักจากตลาดในสหรัฐฯ เพื่อลดความเสี่ยงของการถูกตอบโต้จากสงครามการค้า ได้แก่

กลุ่มสถาบันการเงินในสหรัฐฯ ที่ยังมีแนวโน้มเติบโตได้ดี จากส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยที่ขยายตัว และได้รับประโยชน์จากนโยบายลดกฎระเบียบในภาคการเงิน (Bank de-regulation) ซึ่งจะช่วยเพิ่มความสามารถในการทำกำไร และ

กลุ่มพลังงานในสหรัฐฯ ที่แม้ราคาน้ำมันจะปรับฐานลงจากความกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจ แต่มีแนวโน้มกลับมาฟื้นตัวแข็งแกร่งในระยะข้างหน้า

‘ในกรณีเลวร้าย หากสงครามการค้ายกระดับขึ้น และสหรัฐฯ ประกาศใช้อัตราภาษีนำเข้ากับประเทศคู่ค้าทั่วโลก (Universal Tariff) ที่ระดับ 10% เราประเมินว่า ผลกระทบต่อกำไรของบริษัทจดทะเบียนในสหรัฐฯ จะอยู่ที่ 4-5%’

แต่มองไปข้างหน้า ตลาดหุ้นยังมีปัจจัยบวกจากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของสหรัฐฯ เช่น ความพยายามในการลดภาษีนิติบุคคลจาก 21% ในปัจจุบันเหลือ 15% ซึ่งหากทำได้จริง จะส่งผลบวกต่อกำไรของบริษัทจดทะเบียนสหรัฐฯ ราว 4% และคาดว่าจะช่วยชดเชยผลกระทบเชิงลบจากกำแพงภาษีได้เกือบทั้งหมด

จีดีพีไทย

ด้าน ‘ธนธัช ศรีสวัสดิ์’ นักกลยุทธ์ TISCO ESU กล่าวถึงกระแสความเปลี่ยนแปลงของภูมิรัฐศาสตร์โลกภายใต้ยุคของประธานาธิบดีทรัมป์ ซึ่งนักวิเคราะห์เรียกข้อตกลงดังกล่าวว่า ‘Mar-A-Lago Accord’ ตามชื่อบ้านพักของทรัมป์

ซึ่งเป็นการรวมแนวคิดทั้งหมดของทรัมป์ไว้ด้วยกัน ได้แก่ การผลักดันยุโรปให้รับภาระด้านความมั่นคงมากขึ้น การดึงฐานการผลิตกลับประเทศ และการจัดระบบการค้าโลกใหม่เพื่อลดบทบาทของจีนในห่วงโซ่อุปทานโลก

ซึ่งผลของการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ผลักดันดัชนีความไม่แน่นอนด้านนโยบายเศรษฐกิจโลก (Global Economic Policy Uncertainty Index) ให้พุ่งสูงกว่าช่วงล็อกดาวน์ในปี 2563 สะท้อนถึงความกังวลของตลาดต่อแนวโน้มเศรษฐกิจโลก

การลงทุนภายใต้บริบทโลกที่เปลี่ยนไป TISCO ESU มองว่า ตราสารหนี้โลก (Global Fixed Income) จะเป็นทางเลือกที่ช่วยลดความผันผวนที่เกิดจากปัจจัยเฉพาะของแต่ละประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ

นอกจากนี้ หากลงทุนในตราสารหนี้โลกในช่วงนี้ยังมีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดี เนื่องจากผลตอบแทนที่แท้จริง (Real Yield) ของพันธบัตรรัฐบาลฝรั่งเศสและเยอรมนีปรับขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบกว่า 15 ปีแล้ว

ขณะที่ Real Yield ของญี่ปุ่นเองก็เพิ่มสูงขึ้นจนอยู่ในระดับที่เกือบไม่ติดลบ แม้ยังมีโอกาสปรับขึ้นได้อีกบ้าง แต่ประเมินว่าความเสี่ยงดังกล่าวค่อนข้างจำกัด

จึงแนะนำให้นักลงทุนพิจารณาการลงทุนในตราสารหนี้โลกที่มีการกระจายความเสี่ยงอย่างเหมาะสม ซึ่งเริ่มเห็นการ Outperformed พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ แล้วในช่วงเดือน มี.ค.ที่ผ่านมา

อีกหนึ่งสินทรัพย์ที่น่าสนใจ คือ น้ำมันดิบ ซึ่งมีโอกาสได้รับแรงหนุนจากกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านมาตรการการคลัง โดยเฉพาะในยุโรปและจีน ที่มีแนวโน้มต้องนำทรัพยากรการคลังออกมาใช้มากขึ้น เพื่อรับมือกับความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจในระยะต่อไป

แม้ราคาน้ำมันดิบ WTI จะปรับตัวลดลงติดต่อกันนานกว่า 7 สัปดาห์ในช่วงต้นปี แต่ปัจจัยพื้นฐานยังไม่ได้เปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ และตลาดยังซึมซับข่าวลบไปค่อนข้างมากแล้ว

ทำให้ TISCO ESU มองว่าราคาน้ำมันมีแนวโน้มฟื้นตัวกลับมาเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ 70-80 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ในช่วงกลางปีนี้ ตามปัจจัยฤดูกาลที่อุปสงค์น้ำมันทั่วโลกมักเพิ่มสูงขึ้นในช่วงฤดูร้อน

‘ธนภัทร ธนชาต’ ผู้ช่วยนักวิจัย TISCO ESU กล่าวเพิ่มเติมในส่วนของข้อมูลเศรษฐกิจว่า แม้เศรษฐกิจสหรัฐฯ จะมีสัญญาณชะลอตัว แต่ยังไม่ถึงขั้นเข้าสู่ภาวะถดถอย โดยตัวเลขเศรษฐกิจที่ต่ำกว่าคาดส่วนใหญ่เป็นผลจากการตอบแบบสอบถาม (Soft Indicators) เช่น ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและผู้ประกอบการที่ปรับตัวลงรุนแรง

ขณะที่ตัวเลขชี้วัดทางเศรษฐกิจสำคัญ เช่น การจ้างงาน รายได้ การใช้จ่ายและการผลิต ยังแข็งแกร่งและไม่มีสัญญาณของภาวะเศรษฐกิจถดถอยที่ชัดเจน

ด้านนโยบายการเงินของสหรัฐฯ TISCO ESU ประเมินว่า ในปี 2568 ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 2 ครั้ง รวมที่ระดับ 0.50% โดยความไม่แน่นอนจากสงครามการค้าที่ยังไม่ชัดเจน ทำให้ Fed ต้องดำเนินนโยบายการเงินด้วยความระมัดระวัง

ขณะเดียวกันยังต้องชั่งน้ำหนักระหว่างความเสี่ยงด้านสูง (Upside Risks) ต่ออัตราเงินเฟ้อ และความเสี่ยงด้านต่ำ (Downside Risks) ต่อเศรษฐกิจให้ดี ก่อนตัดสินใจปรับเปลี่ยนจุดยืนนโยบายการเงินในอนาคต

ในส่วนมุมมองต่อเศรษฐกิจยุโรป TISCO ESU มองว่า ยุโรปมีสัญญาณฟื้นตัวในทางที่ดีขึ้น เนื่องจากเยอรมนีมีแผนขาดดุลงบประมาณเพิ่มเติม เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจที่ซบเซามานานกว่า 2 ปี และเพิ่มขีดความสามารถในการป้องกันประเทศ ซึ่งคาดว่าจะส่งผลเชิงบวกในช่วงปี 2569-2570 หลังได้รับการอนุมัติจากรัฐสภาเป็นที่เรียบร้อย

จากขนาดของมาตรการที่ใหญ่ และมีโครงการลงทุนที่หลากหลาย จึงอาจช่วยหนุนให้เกิดการลงทุนภาคเอกชนเพิ่มขึ้นทั้งทางตรงและทางอ้อม อีกทั้ง จะเป็นส่วนสำคัญในการช่วยยกระดับการเติบโตของเศรษฐกิจเยอรมนี และทั่วทั้งยุโรปมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม การใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐอาจใช้เวลานาน ทำให้เศรษฐกิจยุโรปในปี 2568 อาจไม่ได้ขยายตัวมากนัก อีกทั้งเศรษฐกิจยังต้องเผชิญกับความเสี่ยงจากสงครามการค้าของสหรัฐฯ ที่อาจทวีความรุนแรงขึ้น จึงต้องติดตามกระบวนการใช้จ่ายงบประมาณอย่างใกล้ชิด

podcast

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้ และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณเพื่อเราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมกับความสนใจของคุณ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมเราจะไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาและโฆษณาได้ไม่ตรงกับความสนใจของคุณ
    รายละเอียดคุกกี้

บันทึกการตั้งค่า