SHARE

คัดลอกแล้ว

อาณาจักรโรงแรมเก่าแก่ ‘ดุสิตธานี’ ที่ก่อตั้งมากว่า 76 ปี กำลังเผชิญแรงสั่นสะเทือนจากความเห็นต่างในกลุ่มทายาทของ ‘ท่านผู้หญิงชนัตถ์ ปิยะอุย’ ผู้ก่อตั้งบริษัท จนนำไปสู่ข้อพิพาทในระดับผู้ถือหุ้นใหญ่

ท่ามกลางกระแสข่าวที่เคยคาดว่าอาจส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจ แต่ในความเป็นจริง บริษัทสามารถบริหารจัดการวิกฤตได้อย่างราบรื่น

แม้จะมีความกังวลว่า บริษัทจะส่งงบการเงินไตรมาส 1 ปี 2568 ไม่ทันกำหนด และหุ้น DUSIT จะถูกขึ้นเครื่องหมาย SP แต่สุดท้ายคณะกรรมการบริษัทฯ ได้จัดการปัญหาและสามารถยื่นงบการเงินได้ภายในวันที่ 15 พ.ค. 2568 หุ้นจึงยังคงซื้อขายได้ตามปกติ

ในวาระการแต่งตั้งผู้สอบบัญชีประจำปี 2568 ที่คาดกันว่าอาจไม่ผ่านความเห็นชอบจากผู้ถือหุ้น ก็ได้รับการอนุมัติเรียบร้อยแล้วในการประชุมเมื่อวันที่ 28 พ.ค. 2568

[ แรงปะทะในการประชุมผู้ถือหุ้น ]

ความตึงเครียดเริ่มชัดเจนในการประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2568 เมื่อวันที่ 25 เมษายน 2568 เมื่อผู้ถือหุ้นรายใหญ่ ‘บริษัท ชนัตถ์และลูก จำกัด’ ที่ถือหุ้นเกือบ 50% ไม่รับรองงบการเงินปี 2567

ทำให้มีคำถามในที่ประชุมเกิดขึ้นมากมาย และเกิดปัญหาทางเทคนิคในระบบการประชุมออนไลน์ จนนำไปสู่การเลื่อนประชุมไปยังวันที่ 28 พ.ค. 2568

แม้งบการเงินจะผ่านการตรวจสอบและลงนามรับรองโดยผู้สอบบัญชีแล้ว แต่การโหวตไม่ผ่านสะท้อนถึงความไม่พอใจต่อผลประกอบการที่ขาดทุนต่อเนื่อง 5 ปี มียอดขาดทุนสะสม 1,254 ล้านบาท มากกว่าทุนจดทะเบียน 850 ล้านบาท และไม่มีการจ่ายปันผลให้ผู้ถือหุ้นมาระยะหนึ่ง

อย่างไรก็ตาม ผลขาดทุนดังกล่าวเกิดจากการลงทุนขนาดใหญ่มูลค่ากว่า 46,000 ล้านบาท ซึ่งบริษัทเลือกใช้การออกหุ้นกู้และเงินกู้โดยไม่เพิ่มทุน จึงมีภาระดอกเบี้ยสูง

โดยในปี 2567 บริษัทมีต้นทุนทางการเงินรวมประมาณ 578 ล้านบาท แบ่งเป็นดอกเบี้ยจากหุ้นกู้และเงินกู้ยืมราว 281 ล้านบาท และดอกเบี้ยจากสัญญาเช่าตามมาตรฐาน TFRS 16 ประมาณ 297 ล้านบาท

หากไม่รวมต้นทุนทางการเงินเหล่านี้ บริษัทจะมีกำไรจากการดำเนินงาน ซึ่งสะท้อนจาก EBITDA ที่ปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง

[ ปมจากโครงสร้างหุ้น-สายเลือด ]

เบื้องหลังความขัดแย้งครั้งนี้ ไม่ได้มีเพียงเรื่องผลประกอบการ แต่ยังรวมถึงรอยร้าวในครอบครัวผู้ก่อตั้ง บริษัท ชนัตถ์และลูก จำกัด ถือหุ้นใหญ่ใน DUSIT ถึง 49.74% โดยภายในบริษัทถูกแบ่งหุ้นอย่างใกล้เคียงกันระหว่าง 3 ทายาทสายตรงของท่านผู้หญิงชนัตถ์ ได้แก่

• กลุ่มตระกูลโทณวณิก นำโดยชนินทธ์ โทณวณิก (ลูกชายคนโต) ถือหุ้น 25.4%

• กลุ่มตระกูลเธียรประสิทธิ์ นำโดยสินี เธียรประสิทธิ์ (ลูกสาวคนกลาง) ถือหุ้น 26.57%

• กลุ่มตระกูลสาลีรัฐวิภาค นำโดยสุนงค์ สาลีรัฐวิภาค (ลูกสาวคนเล็ก) ถือหุ้น 21.62%

ความขัดแย้งเริ่มปรากฏชัดในเดือน ก.พ. 2567 เมื่อชนินทธ์ ซึ่งดำรงตำแหน่งรองประธานกรรมการ DUSIT ถูกถอดจากตำแหน่งกรรมการในบริษัทชนัตถ์และลูก และแทนที่ด้วยกรรมการจากฝ่ายน้องสาวทั้งสอง ได้แก่ ภัทร สาลีรัฐวิภาค และ ลลิตา เธียรประสิทธิ์ ทำให้กลุ่มน้องสาวเข้ามามีบทบาทสำคัญในการตัดสินใจ

กรรมการบางรายไม่ได้รับการแต่งตั้งใหม่ แต่ธุรกิจเดินหน้าต่อ
แม้ผู้ถือหุ้นใหญ่ไม่อนุมัติการแต่งตั้งกรรมการที่หมดวาระ 4 ราย ได้แก่ อาสา สารสิน, ปราณี ภาษีผล, ภควัต โกวิทวัฒนพงศ์ และสมประสงค์ บุญยะชัย ในการประชุมเมื่อวันที่ 28 พ.ค. 2568

แต่ DUSIT ยังมีจำนวนกรรมการอิสระเพียงพอต่อการบริหารงาน และไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจแต่อย่างใด

[ เมกะโปรเจกต์เดินหน้าต่อเนื่อง ]

แม้จะมีความกังวลในช่วงก่อนหน้าเกี่ยวกับผลกระทบต่อเมกะโปรเจกต์มูลค่ากว่า 40,000 ล้านบาท แต่ในทางปฏิบัติ โครงการดังกล่าวได้เปิดตัวและดำเนินการไปแล้วหลายส่วน

โรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพ เปิดให้บริการแล้ว ขณะที่โครงการที่พักอาศัยมียอดขายกว่า 90% ส่วนองค์ประกอบอื่นในโครงการก็เริ่มทยอยเปิดดำเนินการและรับรู้รายได้ในเร็ววัน

นอกจากนี้ บริษัทชนัตถ์และลูก ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ ยังออกแถลงการณ์แสดงจุดยืนว่าพร้อมสนับสนุนให้ธุรกิจเติบโตต่อไป และไม่มีเจตนาที่จะให้ความขัดแย้งภายในกระทบต่อการดำเนินงานของบริษัท

[ บทเรียน ‘แบ่งหุ้นเท่าเทียมเกินไป’ ]

หลายฝ่ายชี้ว่า หนึ่งในสาเหตุสำคัญของข้อพิพาทภายในครอบครัวดุสิตธานี มาจากการจัดสรรหุ้นที่เท่าเทียมกันเกินไป โดยไม่มีใครมีอำนาจขาดในการตัดสินใจ ส่งผลให้เกิดภาวะชะงักงันในการบริหาร

ในยุคที่เกิด ‘The Great Wealth Transfer’ จากรุ่น Baby Boomer สู่ Gen X และ Gen Y การส่งต่อความมั่งคั่งจึงต้องตั้งอยู่บนหลักของความสามารถ ความชัดเจนในการบริหาร และกลไกตัดสินใจที่มีประสิทธิภาพ

[ สัญญาณเตือนธุรกิจครอบครัวไทย ]

กรณี DUSIT เป็นตัวอย่างสำคัญว่า ความขัดแย้งภายในครอบครัวสามารถส่งผลสะเทือนต่อองค์กรใหญ่ได้อย่างแท้จริง โดยเฉพาะหากไม่มีโครงสร้างการบริหารที่แข็งแรง

ความโปร่งใส ความเป็นธรรม และแผน succession ที่มีประสิทธิภาพ จึงเป็นรากฐานของความยั่งยืนในธุรกิจครอบครัวยุคใหม่

[ ส่องผลประกอบการ 3 ปีล่าสุด ]

• ปี 2565 รายได้รวม 4,748.12 ล้านบาท / ขาดทุนสุทธิ 501.46 ล้านบาท

• ปี 2566 รายได้รวม 6,313.08 ล้านบาท / ขาดทุนสุทธิ 569.82 ล้านบาท

• ปี 2567 รายได้รวม 11,077.48 ล้านบาท / ขาดทุนสุทธิ 236.77 ล้านบาท

แม้ผลประกอบการยังคงขาดทุน แต่รายได้เติบโตต่อเนื่อง และการขาดทุนก็ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ถือเป็นสัญญาณบวกต่อการฟื้นตัวของบริษัทในระยะถัดไป…

podcast

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้ และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณเพื่อเราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมกับความสนใจของคุณ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมเราจะไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาและโฆษณาได้ไม่ตรงกับความสนใจของคุณ
    รายละเอียดคุกกี้

บันทึกการตั้งค่า