SHARE

คัดลอกแล้ว

เพราะ ‘อดีตกำหนดอนาคต’

รวมฮีโร่ ‘วันสิ่งแวดล้อมโลก’ 5 มิถุนายน

ในวันแรกที่เราได้เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของคระกรรมการชมรมนักข่าวสิ่งแวดล้อม ประธานชมรมคนแรก พี่จอบ วันชัย ตันติวิทยาพิทักษ์ พูดขึ้นมาช่วงหนึ่งว่า ในการพบกันครั้งนั้นว่า

“ในการยิงธนู เราต้องง้างคันธนูไปข้างหลัง เพื่อให้ลูกธนูพุ่งไปข้างหน้าได้ไกล เมื่อกันกับปัจจุบัน หากเราอยากเมื่อเห็นอนาคต ก็ต้องมองไปที่อดีต”

นี่เลยน่าจะเป็นที่มาของคำว่า ‘อดีตกำหนดอนาคต’ ก็ว่าได้ และเช่นเดียวกันธรรมชาติ ผืนป่า สายน้ำที่เราได้สัมผัสในวันนี้ ส่วนหนึ่งก็เพราะมีพวกเขาเหล่านี้ เป็นผู้เสียสละ เราขอใช้โอกาสและพื้นที่นี้พูดถึง ‘เหล่าบุคคลสำคัญ’ แทนคำขอบคุณและเป็นแรงบันดาลใจให้เรากลับไปมองเห็นความสำคัญของธรรมชาติ ของสิ่งแวดล้อมที่ชุบชูชีวิต และจิตวิญญาณของคนยุคปัจจุบัน ในวันสิ่งแวดล้อมโลก ที่ 5 มิถุนายน

จากวันสิ่งแวดล้อมโลก สู่การกำเนิด UNEP 

5 มิถุนายน เป็นวันสิ่งแวดล้อมโลก (World Environment Day หรือ WED) ถูกจัดตั้งขึ้นในปี ค.ศ.1974 หรือ 50 ปีที่แล้ว ที่ UN ได้ประกาศให้วันที่ 5 มิถุนายนของทุกปี เป็นวันสิ่งแวดล้อมโลก นับเป็นจุดกำเนิดของเวทีการพูดคุยประเด็นสิ่งแวดล้อมที่ใหญ่ที่สุดของโลกในปีนั้น ที่มีประเทศที่เข้าร่วมเวทีมากกว่า 150 ประเทศ โดยมีคำขวัญในการเฉลิมฉลองครั้งแรกว่า ‘Only One World’ โลกเพียงใบเดียว

ซึ่งปัจจุบันเราจะได้ยินการประชุมนี้ว่า การประชุมสตอกโฮล์ม ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นเกิดเป็นมติสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติในการก่อตั้ง UNEP หรือ United Nations Environment Programme โครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ ที่มีหน้าที่หาวิธีแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมให้กับโลก

แต่หมุดหมายการทำเพื่อโลก ไม่ได้มีแค่การประชุมในระดับโลกเท่านั้น แต่มีบุคคล อีกหลายคนที่เสียสละ ทั้งนักอนุรักษ์ นักวิทยาศาตร์ นักเคลื่อนไหว ไปจนถึงคนธรรมดา เที่ลุกขึ้นมาเพื่อปกป้องสิ่งแวดล้อม และสร้างโลกที่น่าอยู่ให้กับคนรุ่นต่อไป

ภาพจาก Henry David Thoreau photographed by Benjamin D. Maxham, 1856. (National Portrait Gallery, Washington, DC / public domain via Wikimedia Commons

Henry David Thoreau

เขาคนนี้เป็นที่รู้จักกันดีจากหนังสือชื่อดังอย่าง Walden หรือ Life in the Woods (1854) หรือ วอลเดน ต้องขอบคุณหัวหน้าฮงใน Hometown Cha Cha Cha ที่ทำให้เรารู้จักหนังสือวอลเดน และทอโรผู้นี้กันมากขึ้น เราเองรู้จักทอโรครั้งแรกจาก Civil Disobedience (1849) หรือ ‘ต้านอำนาจรัฐ’ บทความเรียกร้องให้ต่อต้านอำนาจรัฐด้วยการไม่เชื่อฟังโดยสันติ หากสิ่งที่รัฐต้องการเป็นสิ่งที่ผิดศีลธรรม ซึ่งเป็นบทความที่ทอโรได้เขียนหลังจากที่ออกจากคุก เพราะไม่ยอมจ่ายภาษี ที่เขามองว่ารัฐบาลจะเอาเงินภาษีพวกนี้ไปทำสงครามกับเม็กซิโก ทำให้เงินพวกนี้ไม่ต่างอะไรจากอาวุธสังหารมนุษย์ด้วยกัน  ซึ่งประทับใจเราไม่น้อย

แต่ถ้าพูดถึงเรื่องสิ่งแวดล้อม ทอโรก็ตราตรึงใจไม่น้อยเช่นกัน จะมีใครที่หนีความเจริญ และเดินเข้าป่า เพื่อทำความเข้าใจชีวิต ซึ่งสวนทางกับในยุคที่อเมริกากำลังเฟื่องฟู และเข้าสู่ยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 1 อย่างรวดเร็วในยุคที่ทุกคนต่างพากันเข้าเมือง พร้อมกับถนนและทางรถไฟที่ขยายตัวอย่างรวดเร็วเช่นกัน แต่ทั้งหมดจากการตั้งคำถามว่า ‘ชีวิตแบบที่สังคมบอกว่าถูก…มันดีจริงไหม?’

เขาใช้ชีวิต อยู่ที่ Walden Pond ในช่วงปี 1845–1847 เป็นเวลา 2 ปี 2 เดือน 2 วัน 

จนเกิดเป็น หนังสือเรื่อง วอลเดนหนึ่งในผลงานชิ้นเอกของทอโร ที่มาจากชื่อของบึ้งวอลเดน ที่เข้าได้สร้างกระท่อมหลังเล็กๆ เพื่อใช้ชีวิตปลีกวิเวกในป่า สัมผัสช่วงเวลา และธรรมชาติ ชีวิตที่มีแค่ การทำสวน ขุดมัน ปลูกถั่ว สังเกตนก แมลง สัตว์ ต้นไม้ ครุ่นคิดเกี่ยวกับสังคม มนุษย์ เสรีภาพ ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ เขียนหนังสือ และทำทุกสิ่งที่อยากทำ

และถึงแม้ วอลเดน อาจดูเหมือนหนังสือปรัชญาชีวิตของทอโรมากกว่าหนังสือสิ่งแวดล้อม แต่บุคคลสำคัญที่มอบบทเรียนชีวิตให้เขาประกอบร่างหนังสือวอลเดนและชีวิตหลังจากนั้นของเขาขึ้นมา ก็คือ ธรรมชาติ ที่เรามักหลงลืมรากเหง้าไป

John Muir

‘เส้นทางที่ชัดเจนที่สุดในการเข้าสู่จักรวาล คือ ผ่านป่าดงดิบ’

จอห์น มิวออร์ เป็นที่รู้จักกันในฐานะ บิดาแห่งอุทยานแห่งชาติ หรือ อีกฉายาก็คือ John of the Mountains หรือ จอห์นแห่งขุนเขา หรือในด้านวิชาการ John Muir เป็นที่รู้จักกันในฐานะนักธรรมชาติวิทยา นักเขียน นักปรัชญา นักสัตว์วิทยา นักธารน้ำแข็ง และนักอนุรักษ์

ถึงแม้จะเกิดที่สกอตแลนด์ และย้ายมาเติบโตในอเมริกาตอน 11 ขวบ แต่จอห์น มิวเออร์ ขึ้นชื่อว่าเป็นคนแรกๆ ที่ขับเคลื่อนเรื่องสิ่งแวดล้อมในอเมริกา จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่สถานที่ต่างๆ มากกว่า 50 แห่งตั้งตามชื่อเขาคนนี้ ไม่ว่าจะ

John Muir Trail   – เส้นทางเดินป่าระยะไกล 340 กม.ในเทือกเขา Sierra Nevada

John Muir College – หนึ่งในแปดวิทยาลัย ของ University of California
  San Diego (UCSD)

Muir Woods National Monument – อนุสรณ์สถานแห่งชาติของสหรัฐอเมริกา

Mount Muir – ยอดเขาในเทือกเขา Sierra Nevada รัฐแคลิฟอร์เนีย

John Muir Highway – ส่วนหนึ่งของทางหลวงหมายเลข 120 ในแคลิฟอร์เนีย
  ที่มุ่งสู่อุทยานแห่งชาติชื่อดังของอเมริกา Yosemite

เราคงจินตนาการไม่ออกว่า ในชีวิตธรรมดาของเรา จะไปหาความยิ่งใหญ่จากไหนเพื่อทำให้พื้นที่ๆ หนึ่ง หรือป่าผืนหนึ่ง กลายเป็นอุทยานแห่งชาติได้ แต่การได้มาของฉายาบิดาอุทยานแห่งชาติ ก็ควรค่าแก่ จอห์น ในยุคที่การสัมปทานป่าให้เป็นเหมืองผุดขึ้นเพื่อสร้างความเจริญให้กับอเมริกา เทือกเขาเซียร์รา เนวาดา นับว่าเป็นจุดหมายหนึ่ง

มิวออร์ ได้เชิญ ดีทีโอดอร์ รูสเวลต์ ประธานาธิบดีของอเมริกาในตอนนั้น เข้าป่าและตั้งแคมป์ที่ Gracier Point ที่ว่ากันว่า เป็นจุดที่สวยที่สุดในอุทยานแห่งชาติ Yosemite เป็นเวลา 3 วัน ซึ่งได้สร้างความประทับใจในธรรมชาติให้กับ ดีทีโอดอร์ รูสเวลต์ เป็นอย่างมาก จนนำมาสู่สันติและอิสระของผืนป่า และเป็นจุดเริ่มต้นของกฎหมายที่ปกป้องธรรมชาติ และเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ ในเวลาต่อมา

และการต่อสู้กับสัมปทานป่าของ จอห์น มิวเออร์ ก็เป็นส่วนสำคัญในการผลักดันให้รัฐสภาสหรัฐฯ ออกกฎหมายประกาศให้ Yosemite เป็นอุทยานแห่งชาติ ในปี 1890 

ซึ่งไม่ได้มีแค่สถานที่เท่านั้นที่ตั้งตามชื่อ จอห์น มิวเออร์ แต่ชื่อของเขาก็ปรากฎอยู่ในชื่อวิทยาศาสตร์ของสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ด้วย ไม่ว่าจะผีเสื้อ นก กิ้งก่า ที่ก็ตั้งตามชื่อ จอห์น มิวเออร์ เช่นกัน

ตัวอย่างเช่น Papilio Thecla muirii, Trogolodytes troglodytes muiri, Amplaria muiri

นอกจากนี้ จอห์น มิวเออร์ ยังเป็นผู้ก่อตั้ง องค์กรที่ขับเคลื่อนประเด็นสิ่งแวดล้อมที่ยาวนานที่สุดในอเมริกา ด้วยอายุ 130 ปี อย่าง Sierre Club โดยได้ดำรงตำแหน่งในฐานะประธานสโมรสร จนถึงวินาทีสุดท้ายของชีวิต (21 เมษายน  1838 – 24 ธันวาคม 1914) และโลกก็ยกให้วันที่ 21 เมษายน ของทุกปี กำหนดให้เป็น John Muir Day

ภาพจาก Facebook : Dr. Jane Goodall

Jane Goodall

บางคนอาจพูด “Bonjour” ได้ (สวัสดีตอนเช้า ภาษาฝรั่งเศส)

เราบางคนอาจพูด “Guten Morgen” (สวัสดีตอนเช้า ภาษาเยอรมัน)

และอื่นๆ แต่ฉันสามารถพูด “ฮูอุ อุอู้ อูอู้ ฮูว ฮูว ฮูว ฮูว” ก็คือ อรุณสวัสดิ์ของลิงชิมแปนซี – Jane goodall

อีกหนึ่งตำนานจากเด็กหญิงผู้รักสัตว์ สู่ตำนานของโลกธรรมชาติ จะมีกี่คนที่พูดภาษาลิงได้ Jane Goodall นักสัตววิทยา มานุษยวิทยาและ วานรวิทยา นักวิทยาศาสตร์หญิงชาวอังกฤษ วัย 91 ปี ที่ทำให้คนรู้จักลิงชิมแปนซีมากขึ้น จากการปรากฎตัวของ เจน ในปี 1965 บนปกนิตยสาร National Geographic พร้อมกับภาพยนตร์สารคดีเรื่อง Miss Goodall and the Wild Chimpanzees ในวัย 28 ปี

ภาพจำของเด็กผู้หญิงของใครหลายคนอาจเป็นภาพที่พวกเธอชอบเล่นกับตุ๊กตาบาร์บี้ แต่สำหรับเด็กผู้หญิงคนนี้ และอีกหลายๆ คน เราสามารถมีความชอบที่หลากหลายมากกว่านั้นได้ และความชื่นชอบของเจน ถูกมอบให้กับ ตุ๊กตาลิงชิมแปนซีที่เธอเรียกว่า ‘Jubilee’ เป็นทั้งเพื่อนรัก เพื่อนเล่น และครูผู้ปลูกฝั่งให้จิตใจของเจนให้มองเห็นโลกที่มากกว่าแค่ ‘มนุษย์’

นอกจากตุ๊กตาลิงชิมแปนซีที่พ่อของเธอเคยให้เป็นของเล่นสมัยยังเด็ก ความชื่นชอบชิมแปนซีของ เจน เข้มข้นขึ้นเมื่อ เธอบินลัดฟ้าสู่ทวีปแอฟริกา ประเทศเคนยา เพื่อทำงานเป็นผู้ช่วยนักมานุษยวิทยาชื่อดังอย่าง หลุยส์ ลีคี (Louis Leakey) ก่อนที่เขาจะเห็นความสามารถในการสังเกตธรรมชาติและพฤติกรรมสัตว์ของเจน และในที่สุดเธอก็ถูกส่งเข้าป่า

เข้าป่า…ไปอยู่กับลิงซะ และจงฟังเสียงของป่าให้ดีๆ 

ทำให้ในปี 1960 เจนเริ่มศึกษาชิมแปนซีป่าในป่ากอมเบ ประเทศแทนซาเนียอย่างจริงจัง ภาพของนักวิจัยที่เราจดจำได้กันคือ มักห้อยกล้อง ถืออุปกรณ์ สมุด และปากกา แต่เครื่องมือในการเก็บข้อมูลชิมแปนซีของเจน คือ ‘ใจ’ และ ‘เวลา’ ของเธอที่ เจนใช้ในการ ค่อยๆ ทำความรู้จักสิ่งมีชีวิตชนิดนี้ 

สิ่งนี้นำพา เจน จากหญิงสาวไร้ปริญญา ก้าวสู่การเป็นผู้เชี่ยวชาญในระดับด็อกเตอร์ เจนไม่ได้เรียนจบปริญญาตรี แต่ความหลงใหลในการสังเกตธรรมชาติ และความทุ่มเทให้กับงานวิจัย เกี่ยวกับสังคมและครอบครัวลิงชิมแปนซี  ที่ลบล้างแนวคิดหลายอย่างที่ว่ามีแค่มนุษย์เท่านั้นที่ทำได้ อย่างการสร้างเครื่องมือ ที่ลิงชิมแปนซีก็ทำได้เช่นกัน เช่น การหากิ่งไม้ มาใช้จิ้มจับปลวก ก่อนที่จะกิน ทำให้มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์รับเธอเข้าเรียนปริญญาเอก โดยไม่จำเป็นต้องมีปริญญาตรี

จากนักวิจัยหญิงธรรมดา สู่ “Dame Jane Goodall” เจนได้รับรางวัลระดับโลกนับไม่ถ้วน ในฐานะคนทำงานด้านสิ่งแวดล้อมและนักสร้างสันติภาพ ไปจนถึง Dame คำนำหน้าที่ถูกมอบให้โดยสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 เป็นเกียรติยศระดับชาติจากราชวงศ์อังกฤษ เพื่อเป็นเกียรติสูงสุดในฐานะพลเรือนที่สร้างคุณูปการต่อโลก และปัจจุบันในวัย 90 ของเจน ยเธอยังคงเดินทางทั่วโลกเพื่อเป็นสะพานเชื่อมธรรมชาติกับพวกเราทุกคน

Rachel Carson

(27 พฤษภาคม 1907 – 14 เมษายน 1964)

ภาพจาก Facebook : U.S. Fish and Wildlife Service History

ผู้เขียนหนังสือชื่อดังตลอดกาลอย่าง Silent Spring (1962) ผลงานชิ้นโบแดง ที่เปลี่ยนประวัติศาสตร์โลก เปิดโปงผลกระทบของสารเคมี เช่น DDT ที่ใช้ในการเกษตร ที่ชี้ให้เห็นว่า แมลงตายได้ แต่นก สัตว์ มนุษย์ และธรรมชาติ ก็ตายตามไปด้วย 

โลกจะมีค่าอะไรหากไร้ซึ่งเสียงสิ่งมีชีวิต หนังสือเล่มนี้ จุดกระแสการต่อต้านสารเคมี ในยุคที่ใคร ๆ ก็เชื่อว่า “สารเคมี” คือเครื่องมือแห่งความเจริญ และนำไปสู่การแบน DDT ในหลายประเทศ รวมถึงสหรัฐฯ เป็นแรงผลักดันให้เกิด Environmental Protection Agency (EPA) สำนักงานปกป้องสิ่งแวดล้อมของรัฐบาลอเมริกาที่มีหน้าที่รับผิดชอบในการปกป้องสุขภาพของมนุษย์และสิ่งแวดล้อม

Rachel เติบโตมากับธรรมชาติและชอบสังเกตสัตว์ป่า ตั้งแต่วัยเด็กเธอเขียนบทความเกี่ยวกับนก ทะเล และธรรมชาติต่อมาเธอทำงานให้กับ U.S. Fish and Wildlife Service และเริ่มเขียนหนังสือเกี่ยวกับชีวิตในทะเล ซึ่งผลงานชิ้นอื่นๆ ก็คือ Under the Sea-Wind (1941) ที่เปิดโลกผู้อ่านให้เข้าใจวิถีชีวิตสัตว์ทะเล, The Sea Around Us (1951) หนังสือที่เผยความมหัศจรรย์ของมหาสมุทร 

เรานับถือความเข้มแข็งและความกล้าหาญของเรเชลเป็นอย่างมาก ในยุคที่ผู้ชายต่างเป็นที่ยอมรับได้ง่ายกว่าความเป็นหญิงที่พูดความจริงอย่างองอาจ เรเชล เปิดทางให้หญิงสาวรุ่นต่อไปกล้าแสดงออกในวงการวิทยาศาสตร์และสังคม และเป็นได้เปลี่ยนวิธีคิดของผู้คนต่อธรรมชาติ จาก “สิ่งที่ใช้ประโยชน์ได้” เป็น “สิ่งที่ต้องเคารพและดูแล”

Julia Hill

ภาพจาก https://juliabutterflyhill.com

วันที่ 10 ธันวาคม ปี 1997 เธอคนนี้ปีนขึ้นต้น Red wood ยักษ์ อายุพันปี ในรัฐแคลิฟอร์เนีย และอาศัยอยู่บนนั้นกว่า 738 วัน หรือกว่า 2 ปี เพื่อขัดขวางการตัดไม้ของบริษัท Pacific Lumber ความกล้าหาญของหญิงสาวชาวอเมริกัน วัย 23 ปี ที่ต้องการปกป้องป่าและไม้โบราณที่ลดลงเรื่อยๆ จากการเปิดสัมปทานป่า

โดยที่เธอกางผ้าใบกันน้ำ ขนาด 6×8 ฟุต กับเต็นท์ที่ถูกกางบนต้นไม้ พร้อมกับเสบียงอาหารที่ถูกส่งมาจากฝ่ายสนับสนุน โดยที่เธอยอมเสียสละตัวเองไม่ลงมาจากต้นไม้เลย ในขณะที่หลายครั้งบริษัทพยายามจะพาตัวเธอลงมา และโน้มน้าวให้เธอล้มเลิก

จูเลีย เปิดเผยความรู้สึกกับหลายสื่อที่เผยแพร่ในช่วงนั้นว่า เป็นเรื่องที่ไม่ง่าย เพราะการอาศัยอยู่บนนั้นตลอดเวลา เธอต้องต่อสู้กับความเหงาอยู่บนความสูงหลายเมตร ที่ในบางคืนมีลมพัดแรง แต่การต่อสู้ของเธอนำไปสู่การรับรู้ของคนอเมริกันที่มากขึ้นว่าป่าเรดวู้ดโบราณเหลืออยู่เพียง 3% เท่านั้น และนำมาสู่หนังสารคดีที่ชื่อว่า Butterfly และ หนังสือชื่อ The Legacy of Luna เรื่องราวของต้นไม้ ผู้หญิง และการต่อสู้เพื่อรักษาป่าเรดวูด

ก่อนที่ จูเลีย จะกลับลงมาวันที่ 18 ธันวาคม ปี 1999 หลังจากที่อาศัยอยู่บนต้นไม้ที่เธอเรียกว่า Luna ที่หมายถึง ความสูงสง่า จนเอื้อมไปแตะดวงจันทร์ นานถึง 2 ปี และหลังจากที่เธอได้ทำข้อตกลงกับบริษัทว่าจะไม่มีการตัดไม้ต้นนี้และต้นไม้รอบๆ ที่ห่างออกไปอีก 3 เอเคอร์เพื่อเป็นเขตกันชน ให้กับป่าโบราณผืนสุดท้ายที่เหลืออยู่

ภาพจาก มูลนิธิสืบ นาคเสถียร

สืบ นาคเสถียร

เชื่อว่าหลายคนคงเคยผ่านหูชื่อนี้กันมากบ้าง ‘สืบ นาคเสถียร’ ผู้พลีชีพเพื่อป่า ผู้เปลี่ยนภาพลักษณ์ “เจ้าหน้าที่ป่าไม้” ให้กลายเป็น “นักต่อสู้เพื่อธรรมชาติ” เป็นผู้มีบทบาทอย่างมาก ในการต่อต้านโครงการ “เขื่อนน้ำโจน” ที่จะทำลายผืนป่าห้วยขาแข้ง ที่ปัจจุบัน เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าที่อุดมสมบูรณ์ที่สุดแห่งหนึ่งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เป็นแหล่งอาศัยของสัตว์ป่าหายาก เช่น เสือโคร่ง ช้างป่า วัวแดง และนกเงือก

แต่ในช่วงปลายทศวรรษ 2520 – 2530 กลับเป็นฝันร้ายของผู้ที่ปกป้องผืนป่านี้ จากการลักลอบตัดไม้ ล่าสัตว์ บุกรุกพื้นที่ และโครงการที่ใหญ่ที่สุดคือ โครงการสร้าง “เขื่อนน้ำโจน” ที่จะท่วมบางส่วนของพื้นที่ห้วยขาแข้ง สืบ ได้ทำหน้าที่ปกป้องธรรมชาติด้วยการ เขียนรายงานเกี่ยวกับป่าผืนนี้ที่เป็นแหล่งพันธุกรรมสัตว์ป่าหายากและ คุณค่าทางธรรมชาติมีมูลค่าสูงกว่าพลังงานไฟฟ้าที่เขื่อนจะผลิตได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ถูกมองว่าล้าหลัง อ่อนแอ ไร้เหตุผล ไปจนถึงขั้นถูกมองว่า ขวางความเจริญ

สืบเผชิญกับแรงกดดันทั้งจากภายในระบบราชการและผู้มีอำนาจ จนในที่สุดวันที่ 1 กันยายน 2533 สืบยิงตัวตายที่บ้านพักในห้วยขาแข้ง พร้อมจดหมาย เสียงปืนดังสนั่น เป็นตัวแทนของการเรียกร้องของ “ผืนป่าและสัตว์ป่า” ที่เขาอย่างรักษาและมรดกที่เขาทิ้งไว้ยังมีชีวิตอยู่

ปี 2534 ห้วยขาแข้ง–ทุ่งใหญ่นเรศวร ได้รับการประกาศเป็น มรดกโลกทางธรรมชาติ และได้ก่อกำเนิด “มูลนิธิสืบนาคะเสถียร” และทุกวันที่ 1 กันยายน เป็นวัน “วันสืบ นาคะเสถียร”

“ผมมีชีวิตอยู่ เพื่อรักษาชีวิตอื่น ๆ อีกมากมายในผืนป่านี้”

— สืบ นาคะเสถียร

ภาพจาก Locals ThaiPBS

สุเมธ เหรียญพงษ์นาม

หากคุณเป็นชาวนาธรราดาจะหาเงินจากไหนมาจ่าย หลังถูกฟ้อง 50 ล้าน?

4 ปีก่อนเรามีโอกาสเดินทางไปยังจังหวัดปราจีนบุรี เพื่อฟังการประชุมของหมู่บ้านและเวทีวิชาการที่พูดคุยเกี่ยวกับการปนเปื้อนของมลพิษขยะจากบ่อฝังกลบ ทำให้เรามีโอกาสได้เจอพี่สุเมธ ตัวจริงครั้งแรก หลังจากที่ได้รู้ดูเรื่องราวของพี่สุเมธผ่านรายการสารคดี Backpack Journalist ของ ThiaPBS

ถูกฟ้อง และถูกลอบยิงถึง 3 ครั้ง  พ่อต้องนั่งเฝ้ากล้องวงจรปิด เพื่อดูความปลอดภัยให้ลูกชายว่าเวลานี้เข้าบ้านได้แล้ว แม่ผู้ที่นั่งร้องไห้และจดบันทึกทุกวันด้วยน้ำตา หลังจากที่พี่สุเมธถูกปองร้ายจากการลุกขึ้นมาปกป้อง บ้านกรอกสมบูรณ์จากการสร้างบ่อขยะ

หากเราอยู่กรุงเทพมหานคร หรือในตัวเมืองต่างจังหวัดหรือที่ไหน เป็นการยากมากที่เราจะได้เห็น หรือสัมผัสกับสิ่งที่เราทิ้งลงขยะ ก่อนที่จะถูกส่งไปให้พ้นสายตา ประกอบกับผังเมืองหลวงอย่างกรุงเทพก็กำหนดให้ไม่สร้างบ่อฝังกลบไว้ใกล้เรา

แต่ผิดกับหลายๆ ที่ที่ขยะจากเมืองใหญ่เหล่านี้จะถูกส่งไปฝังกลบให้พ้นสายตาคนกรุง แต่กระทบปนเปื้อนแหล่งน้ำ และพืชผลทางการเกษตรของเกษตรกร บ้านกรอกสมบูรณ์เป็นหนึ่งในนั้น นี่เลยเป็นสาเหตุที่ทำให้พี่สุเมธลุกขึ้นมาต่อสู้และนำมาสู่การฟ้องโดยบริษัทเจ้าของกิจการ ด้วยมูลค่า 50 ล้านบาท หลังยื่นจดหมายเปิดผนึกต่อผู้ว่าฯให้แก้ไขปัญหากลิ่นเหม็น

จึงนำมาสู่คำถามที่เกิดขึ้นในใจของเราว่า “แล้วขยะที่เราทิ้งแล้วไปไหน?” กลายเป็นว่า เราอาจเป็นส่วนหนึ่งหรือเปล่า? เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เราพยายามแยกขยะ และศึกษามลพิษที่เกิดจากขยะ และสนใจประเด็นสิ่งแวดล้อม ซึ่งปัจจุบันบริษัทถอนฟ้องและไกล่เกลี่ยแล้ว แต่พี่สุเมธก็ยังคงปกป้องสิ่งแวดล้อมของชุมชนและบ้านเกิดของตนอยู่

ในตอนแรกเราตั้งใจอยากจะหยิบยกมา 12 คน แต่อยากตัวเลข 12 มีความหมายว่า เดือนแห่งสิ่งแวดล้อมไม่ใช่แค่มิถุนายน แต่อยากให้เป็นตัวแทนของวันสิ่งแวดล้อมในทุกๆ เดือน แต่กลับกลายเป็นว่าเรียบเรียงได้เพียง 4 คนบทความนี้ก็ยาวเกินกว่าที่ยัดเยียดไปในโอกาสเดียว เราเลยขอเบรดไว้เพื่อแบ่งปันกันต่อโอกาสหน้า และขอจบบทความนี้ไว้ที่ สุเมธ เหรียณพงษ์นาม ผู้ที่เราอยากขอบคุณ และมีผลอย่างมาในการดำรงชีวิตที่คิดถึงสิ่งรอบตัวมากขึ้นของเรา

ซึ่งสิ่งที่สำคัญที่สุดของบทความนี้ ไม่ใช่การได้เรียนรู้ หรือการมองหาไอดอลเพื่อเป็นแรงบันดาลใจเท่านั้น แต่ใจความสำคัญที่สุดก็คือ เราทุกๆ คนสำคัญ ในการทำให้ทุกๆ วันมีความหมาย และสามารถปกป้องสิ่งแวดล้อมให้กับโลก สังคม รวมถึง ตัวเราเอง

“คุณสร้างความเปลี่ยนแปลงได้ — ทุกวัน

และทุกการเลือกของคุณ ล้วนมีความหมาย”

– Jane Goodall

 

 

อ้างอิง

https://www.worldenvironmentday.global/about/history

https://vault.sierraclub.org/john_muir_exhibit/press_releases/yosemite_highway_dedicated_to_john_muir.aspx

หนังสืออาบป่า ชินรินโยกุ / จอห์น มิวออร์ P.119

John_Muir

https://vault.sierraclub.org/john_muir_exhibit/science/amplaria_muiri.aspx

https://ngthai.com/wildlife/4744/jane-goodall/

 

podcast

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้ และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณเพื่อเราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมกับความสนใจของคุณ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมเราจะไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาและโฆษณาได้ไม่ตรงกับความสนใจของคุณ
    รายละเอียดคุกกี้

บันทึกการตั้งค่า