SHARE

คัดลอกแล้ว

ท่ามกลางเกมยั่วยุ

ไทยต้องอดกลั้น

สถานการณ์ข้อพิพาทไทย-กัมพูชา ยังคงตึงเครียด แม้ว่าการที่กัมพูชานำเรื่องยื่นต่อศาลโลกอาจไม่เกิดกระบวนการอะไรเพิ่มเติม เนื่องจากรัฐบาลไทยก็ยืนยันมาตลอดว่าไม่ยอมรับเขตอำนาจ 

แต่ไพ่ในมือของกัมพูชาอาจไม่ได้มีเพียงแค่นี้ และยังมีเทคนิคอื่นๆ ที่สามารถใช้การในกดดันได้ รายการ HEADLINE สำนักข่าว TODAY ชวน ดร.ภัทรพงษ์ แสงไกร อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มาวิเคราะห์เกมกฎหมายที่กัมพูชาถนัด

ดร.ภัทรพงษ์ แสงไกร อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

 

[ไพ่ในมือกัมพูชามีมากกว่ายื่นศาลโลก]

แม้ว่าหลังจากมีรายงานข่าวที่ทางเอกอัครราชทูตกัมพูชาประจำประเทศเนเธอร์แลนด์ได้นำจดหมายอย่างเป็นทางการยื่นถึงศาลยุติธรรมระหว่างประเทศหรือ International Court of Justice (ICJ) เป็นที่เรียบร้อยเมื่อวันที่ 16 มิ.ย. ที่ผ่านมา แต่ในมุมมองของ ดร.ภัทรพงษ์ แสงไกร อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ วิเคราะห์ว่ายังไม่มีเอกสารข่าว หรือ Press Release ออกมาจากศาลฯ ประกอบกับกระทรวงการต่างประเทศของไทยก็แถลงข่าวว่ายังไม่ได้รับหนังสือใด จึงมองว่าอาจเข้ากรณีการฟ้องแบบ ‘Forum Prorogatum’ หรือการนำเรื่องเข้าสู่ศาลโลกเพื่อเชื้อเชิญให้ไทยไปรับเขตอำนาจศาล

อย่างไรก็ตามที่ผ่านมารัฐบาลไทยได้ยืนยันมาตลอดว่าไทยไม่รับเขตอำนาจของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2503 ซึ่งการยืนยันท่าทีว่าไม่ยอมรับเขตอำนาจนี้ก็อาจทำให้กระบวนการยุติเพียงเท่านั้น เนื่องจากไม่ได้รับการยินยอมจากคู่กรณีทั้งสองฝ่าย แต่นี่อาจเป็นเพียงหนึ่งในช่องทางการเดินเกมของทางกัมพูชาเท่านั้น 

ดร.ภัทรพงษ์ อธิบายว่า ‘ไพ่ในมือ’ ของกัมพูชายังมีเวทีโลกที่สามารถกดดันทางอ้อมได้ แม้ว่าจะไม่ได้นำไปสู่การเป็นคดีแบบรัฐฟ้องรัฐ เช่นการนำเรื่องเข้าสู่สมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ (UNGA) หรือ คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC) ที่สามารถออกคำแนะนำให้ผู้พิพาทนำคดีไปสู่ศาลโลกได้ ซึ่งแม้จะไม่ได้เป็นคำสั่งที่มีผลผูกผัน แต่ก็อาจสร้างแรงกดดันได้ ส่วนอีกช่องทางหนึ่งคือการขอความเห็นทางกฎหมายจากศาล หรือ Advisory Opinion ซึ่งทั้ง UNGA และ UNSC มีอำนาจในการร้องขอให้ศาลโลกออกความเห็นทางกฎหมายได้

“ผมชอบอธิบายว่าคล้ายๆ กฤษฎีกาบ้านเรา เวลาที่รัฐมีปัญหาเรื่องข้อกฎหมายก็นำเรื่องมาปรึกษากฤษฎีกา สิ่งที่มันน่าสนใจก็คือ หลายๆ ประเทศเวลาที่มีข้อพิพาทกันนะครับ จะมาใช้ช่องทางนี้แหละ เพื่อจะระงับข้อพิพาท…อันนี้เป็นไพ่ในมืออีกใบหนึ่งที่กัมพูชามี เพียงแต่ว่าจะใช้ได้จริงหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับอำนาจต่อรองทางการทูตของกัมพูชา” ดร.ภัทรพงษ์ กล่าว 

อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่านนี้วิเคราะห์ว่าหากกัมพูชานำเรื่องเข้า UNGA ในวันนี้อาจจะยังไม่ได้รุนแรงมาก และสถานการณ์ก็ผ่อนคลาย (De-escalate) ลงมากแล้ว และอาจต้องล็อบบี้เยอะพอสมควรเพราะมีรัฐสมาชิกเยอะ หากจะง่ายกว่าคือการนำเรื่องเข้า UNSC และไปล็อบบี้เอา เรื่องจากมีเพียง 15 เสียง

“ผมมองว่ากัมพูชาน่าจะเล่นเกมกฎหมาย เกมศาลไปอีกสักพักนึง ยิ่งใกล้เลือกตั้งอาจจะวนกลับมาอีก ดินแดนทางบกค้างไว้ อาจจะไปเล่นเรื่องทะเลต่อ อาจจะมีเรื่องอื่นๆ ให้เล่นต่อ เพราะกัมพูชาค่อนข้างคุ้นเคยกับเกมนี้ใช่ไหมครับ ตั้งแต่คดีพระวิหารแล้วนะและเพิ่งใกล้เลือกตั้งใหญ่เข้าไปอีก 2-3 ปีข้างหน้า อาจจะเห็นอีก…คดีที่กัมพูชาจะฟ้องไทยอาจจะติดเรื่องความยินยอมของไทย อาจจะติดเรื่องเขตอำนาจศาล แต่คดีในศาลโลกมันไม่ได้มีแค่คดีรัฐฟ้องรัฐ มันยังมีคดีที่ลักษณะที่เรียกว่าความเห็นทางกฎหมายอีกอย่างที่อธิบายไป ก็ต้องติดตามต่อไปครับ ไม่น่าจะจบแค่นี้” ดร.ภัทรพงษ์ คาดการณ์

 

[เกมช่วงชิงความชอบธรรมในสายตาสังคมโลก]

หากมองภาพที่ออกมาจากฝั่งกัมพูชาอย่างเช่นการโพสต์ของฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ที่ประกาศว่า ‘กัมพูชาเลือกกฎหมายระหว่างประเทศและสันติภาพ’ ดร.ภัทรพงษ์ มองว่าภาพที่ออกมาทำให้กัมพูชาดูเป็นประเทศที่เคารพกฎหมายและยึดถือหลักสันติวิธี 

แน่นอนว่าคำอธิบายทางฝั่งไทยที่บอกว่าศาลโลกไม่มีอำนาจเนื่องจากไทยไม่ยอมรับจะถูกต้อง 100% ตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ แต่ในความชอบธรรมไม่ควรจบอยู่แค่คำอธิบายนี้ ดร.ภัทรพงษ์ มองว่า ไทยควรอธิบายเสริมเรื่องกลไกที่มีอยู่แล้วให้มากยิ่งขึ้นว่าสิ่งที่ทั้งสองฝ่ายตกลงกัน สามารถเดินหน้าแก้ปัญหาได้มากน้อยแค่ไหน 

ดร.ภัทรพงษ์ ระบุว่าเริ่มเห็นทิศทางจากแถลงการณ์ที่ออกมาจากฝั่งไทยในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาว่าไม่ได้อธิบายเพียงแค่หลักกฎหมาย แต่มีการยืนยันว่าจะใช้กลไกทวิภาคีและระบุถึงข้อดีของการใช้กลไกทวิภาคีมากยิ่งขึ้น

“ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในหลายๆ ภูมิภาคเนี่ย มันเป็นสงครามจริงๆ นะครับ แต่ของบ้านเรา ณ วันนี้ อาจจะรู้สึกอุ่นใจขึ้นหน่อยเพราะ มัน de-escalate (ผ่อนคลาย) ลงไปแล้ว ที่เหลือเนี่ยมันจะเป็นเกมกฎหมายครับ เกมการช่วงชิงความชอบธรรม ว่าฝ่ายไหนจะสามารถเสนอข้อต่อสู้ทางกฎหมาย มี narrative ที่สามารถโน้มน้าวประเทศที่ 3 หรือว่าประชาคมโลกได้ดีกว่ากัน” ดร.ภัทรพงษ์ กล่าว

การที่ทั้งสองฝ่ายมีการยั่วยุกันอยู่ ดร.ภัทรพงษ์ มองว่าต้องทำให้ไม่ escalate tension (ไม่รุนแรงขึ้น) โดยอาจยึดเอาภาคผนวกของข้อตกลง JBC ที่มีการระบุว่าต้องใช้ความอดกลั้นและไม่ทำให้ข้อพิพาทรุนแรงขึ้น หรือเป็นหลัก  Non-Aggravation of the Dispute ไทยจึงจำเป็นต้องหาวิธีประคองไม่ให้พัฒนากลายเป็นการปะทะกันทางทหาร

“เราจะต้องระวังไม่ให้เพลี่ยงพล้ำหลงเข้าไปทำให้สถานการณ์มันรุนแรงมากยิ่งขึ้น escalate tension ให้มันสูงขึ้น สิ่งนึงที่ต้องระวังนะครับ อันนี้อาจจะเป็นมิติทางกฎหมายนิดนึง ก็คือต้องระวังไม่ให้มันเกิด Threat การขู่ว่าจะใช้กำลัง อันนี้ทำไม่ได้ การใช้กำลังจริงๆ อันนี้ผิดแน่นอน แค่ Threat of Force การขู่ว่าจะใช้กำลังทหาร อันนี้ก็ผิด เพราะฉะนั้นตรงนี้จะทำยังไงก็ได้ให้ยังมีป้องปรามอยู่ แต่ว่าไม่ถึงขนาดเป็นอาชญากรรม ตรงนี้ต้องต้องประคองสถานการณ์ให้ดี” ดร.ภัทรพงษ์ กล่าวทิ้งท้าย

 

หมายเหตุ : สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2568 รับชมรายการ HEADLINE ได้ทาง : https://youtu.be/K-ZF92zH6sw?si=cpfcBhKrYUGSrCEu

 

podcast

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้ และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณเพื่อเราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมกับความสนใจของคุณ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมเราจะไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาและโฆษณาได้ไม่ตรงกับความสนใจของคุณ
    รายละเอียดคุกกี้

บันทึกการตั้งค่า