เพจเฟซบุ๊กอุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา เผยภาพ นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติโพสท่าตีลังกา ขาชี้กลางโบราณสถาน เผยเป็นภาพเก่า ชี้ให้เห็นถึงปัญหานักท่องเที่ยวขาดจิตสำนึก
วันที่ 16 ส.ค. 61 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เพจเฟซบุ๊ก อุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา ได้โพสต์ข้อความ ระบุว่า เมื่อเห็นภาพแบบนี้ คุณจะนึกถึงอะไร ??? (ภาพเก่าเล่าเรื่อง) 1. นักท่องเที่ยวขาดจิตสำนึก แน่นอนว่าหากเป็นนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติย่อมต่างวัฒนธรรมและต่างขนบอันพึงปฏิบัติ 2. เจ้าหน้าที่ของหน่วยงานที่ดูแล ต่อให้มีเจ้าหน้าที่คอยเฝ้าระวังมากมายกว่านี้ หรือป้ายเตือนรกเต็มพื้นที่ไปหมด หรือกฏระเบียบที่เข้มข้นเด็ดขาดเท่าไหร่ก็ตามหากนักท่องเที่ยวขาดจิตสำนึก (ตามข้อ1) ก็จัดการได้แค่ระดับหนึ่งเท่านั้น 3. นักท่องเที่ยวด้วยกันเองที่ผ่านไปพบเห็น แล้วคิดว่าไม่ใช่ธุระของตน ปล่อยให้เป็นของจิตสำนึก (ตามข้อ 1) และเป็นเรื่องเจ้าหน้าที่หรือหน่วยงาน (ตามข้อ 2) …ภาพแบบนี้ก็คงมีหลุดออกมาให้เห็นกันอีกอย่างแน่นอน ปล.ในทั้ง 3 ข้อ หากจริงจังจริงใจ เต็มที่กับภารกิจ และไม่เพิกเฉยในเรื่องรอบตัว ความเสื่อมใดๆ ก็จะไม่เกิดขึ้นกับมรดกโลกของเรา
โดยมีการโพสต์ภาพนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเป็นหญิงสาวนุ่งกางเกงขาสั้น แสดงท่าใช้มือเท้ากับพื้นใช้ศีรษะทิ่มลงกับพื้นแล้วฉีกขาติดกับประตูทางเข้าโบราณสถานวัดพระราม ภายในอุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา และภาพหญิงชาวต่างชาติอีกคน แสดงท่าทางในลักษณะเดียวกัน บริเวณด้านพระปรางค์ของวัดพระราม และยังมีภาพหญิงชายชาวต่างชาติแสดงท่าทาง จูบกันภายในโบราณสถานวัดมหาธาตุ วัดราชบูรณะ และภาพหญิงสาวขึ้นไปนั่งคู่กับพระพุทธรูปโบราณ อีกด้วย
ผู้สื่อข่าวจึงเดินทางไปตรวจสอบที่วัดพระราม บริเวณที่ปรากฏในภาพ พบว่ามีนักท่องเที่ยวเข้ามาท่องเที่ยวบางตา จุดบริเวณที่ปรากฏภาพนักท่องเที่ยวแสดงท่าทางไม่เหมาะสมพบว่าเป็นด้านหลังของวัดพระราม ส่วนของพระอุโบสถ จากการตรวจสอบภาพน่าจะเป็นภาพที่ถ่ายมาได้ระยะหนึ่งแล้ว
นายอลงกรณ์ มีวุฒิสม เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยภายในวัดพระราม กล่าวว่า กลุ่มนักท่องเที่ยวที่มักชอบเข้ามาถ่ายภาพแสดงท่าทางที่ไม่เหมาะสม จะเป็นนักท่องเที่ยวกลุ่มที่เดินทางมาด้วยตนเองพักตามเกสต์เฮาส์ ไม่ได้มาเป็นกรุ๊ปทัวร์ จึงไม่มีไกด์คอยให้คำแนะนำ โดยหากมีนักท่องเที่ยวเข้ามาท่องเที่ยว ตนจะต้องเดินตรวจและคอยว่ากล่าวตักเตือน แต่เนื่องจากมีพื้นที่กว้าง บางครั้งอาจจะหลุดรอดสายตาไปบ้าง ทางอุทยานประวัติศาสตร์จึงได้มีป้ายถึงสามภาษาแจ้งเตือนนักท่องเที่ยวอยู่แล้ว แต่พบว่ายังคงมีการกระทำในลักษณะนี้เกิดขึ้นอีก