กมธ.การพาณิชย์ฯ-สนช. ร่วมถกปัญหาแรงงานไหลออกนอกประเทศ

กมธ.การพาณิชย์ฯ สนช. จัดเสวนาเรื่อง “เศรษฐกิจไทยเติบโต แต่รากหญ้าถูก Disrupt? จะแก้ไขอย่างไร” หวังหาแนวทางลดความเหลื่อมล้ำ สร้างสมดุลการพัฒนาแรงงานอย่างยั่งยืน และป้องกันแรงงานไหลออกนอกประเทศ

วันที่ 13 ก.ย. 2561 คณะกรรมาธิการ (กมธ.) การพาณิชย์ การอุตสาหกรรม และการแรงงาน สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) จัดเสวนาเรื่อง “เศรษฐกิจไทยเติบโต แต่รากหญ้าถูก Disrupt? จะแก้ไขอย่างไร” ณ ห้องประชุม 213-216ชั้น 2อาคารรัฐสภา 2โดยมีผู้เข้าร่วมเสวนาประกอบด้วย สมาชิก สนช. ที่ปรึกษา ผู้ชำนาญการ นักวิชาการ เลขานุการ และอนุกรรมาธิการคณะต่างๆ จำนวน 150คน

พล.อ.สิงห์ศึก  สิงห์ไพร ประธานกรรมาธิการฯ กล่าวเปิดการเสวนา ว่า การเสวนาในครั้งนี้จัดขึ้นเพื่อเป็นเวทีระดมความคิดเห็นและข้อเสนอแนะเกี่ยวกับสภาพปัญหาอุปสรรคในการดำเนินการด้านการพาณิชย์ การอุตสาหกรรม และการแรงงาน ระหว่างคณะกรรมาธิการ อนุกรรมาธิการ และผู้ที่เกี่ยวข้องซึ่งข้อมูลจากการเสวนาในวันนี้จะนำไปสรุปเป็นข้อเสนอแนะต่อรัฐบาลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อเสนอแนวทางและมาตรการในการพัฒนาด้านต่างๆ เพื่อลดความเหลื่อมล้ำ สร้างความสมดุลในการพัฒนาด้านแรงงานให้เกิดความอย่างยั่งยืนและเกิดผลประโยชน์แก่ประเทศชาติต่อไป

พล.อ.สิงห์ศึก  สิงห์ไพร ประธานกรรมาธิการฯ

ในวงเสวนา “เศรษฐกิจไทยเติบโต แต่รากหญ้าถูก Disrupt? จะแก้ไขอย่างไร” มองว่า ที่ผ่านมาไทยมุ่งเน้นแก้ปัญหาแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมาย การค้ามนุษย์ และแก้ไขกฎหมายให้สอดคล้องกับตามหลักสากล แต่กลับละเลยที่จะแก้ไขปัญหาแรงงานไทยในเชิงวิเคราะห์และสังเคราะห์ โดยเฉพาะยังขาดการพัฒนาฝีมือแรงงาน อาจทำให้แรงงานของไทยที่ถูกมองข้าม หันไปทำงานในประเทศอื่นๆ แทน เช่น จีน ที่ได้รับค่าตอบแทนและสวัสดิการที่ดีกว่า ซึ่งจะส่งผลให้ในอนาคตไทยเกิดปัญหาขาดแคลนแรงงานมาขับเคลื่อนอุตสาหกรรมในประเทศได้ ดังนั้น ไทยจำเป็นต้องเร่งลดเงื่อนไขด้านศุลกากร ลดขั้นตอน และระยะเวลาในการประกอบธุรกิจให้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะเรื่องการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานให้กับกลุ่มรากหญ้าและภาคการเกษตรนั้น ภาครัฐจำเป็นต้องเข้าไปช่วยเหลือให้เข้มแข็งสามารถเลี้ยงตนเองได้ จากนั้นรัฐเข้าไปเก็บภาษีจากผลกำไรแล้วนำมาพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานอย่างต่อเนื่อง จึงจะสามารถแก้ปัญหาลดความเหลื่อมล้ำลงได้ ขณะที่ภาคธุรกิจขนาดย่อมยังขาดการนำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาใช้เพื่อลดต้นทุน ส่วนภาคธุรกิจเอกชนทั่วไปนั้น แม้ว่าที่ผ่านมาจะสามารถช่วยเหลือตนเองได้ แต่ภาครัฐควรนำงานวิจัยที่มีคุณภาพเข้ามาสนับสนุนภาคเอกชนให้มีขีดความสามารถสูงขึ้นให้แข่งขันกับต่างชาติได้ และควรลดหย่อนภาษีการวิจัยของเอกชนด้วย