“สุขุม” มองหลังเลือกมีการจับขั้วกัน 2 รอบ

“สุขุม นวลสกุล” วิเคราะห์การเมือง “พลเอกประยุทธ์” กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกแต่ต้องต่อรอง 2 รอบ ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีก่อน แล้วดึงพรรคมาเพิ่มสร้างเสถียรภาพให้รัฐบาล

วันที่ 18 ธ.ค. รศ.สุขุม นวลสกุล อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยรามคำแหง กล่าวในงานเสวนาวิชาการ หัวข้อการเลือกตั้งคุณภาพกับอนาคตประเทศไทยภายหลังการเลือกตั้ง ที่โรงแรมเซ็นทรา บายเซ็นทาราศูนย์ราชการและคอนเวนชันเซ็นเตอร์ ตอนหนึ่งว่า

การเลือกตั้งครั้งต่อไปคือการเลือกผู้แทน เพราะเรารู้อยู่แล้วว่าใครจะมาเป็นนายกรัฐมนตรี อย่างไรก็ตามส่วนตัวไม่ได้คิดว่าพรรคพลังประชารัฐจะชนะการเลือกตั้งมาลำดับ 1 แต่กำลังมองว่าฝ่ายที่สนับสนุนพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา มี 250 เสียงอยู่ในมือจากวุฒิสภา และต้องการเพียงอีก 126 เสียง เฉพาะพรรคพลังประชารัฐคงเป็นไปไม่ได้ที่จะได้เสียงเท่านี้ แต่ยังมีพรรคการเมืองอื่นโดยเฉพาะพรรคที่เดินคาราวะแผ่นดิน และที่ประกาศล่วงหน้าว่าจะสนับสนุนพลเอกประยุทธ์เป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไป รวมๆ กันแล้วก็น่าจะเกิน

ทั้งนี้ส่วนตัวมองว่าการรวมพรรคกันจะมี 2 ครั้งคือ ในครั้งแรกจะเป็นการรวมตัวกันเพื่อเลือกนายกรัฐมนตรี ซึ่งในการรวมกันครั้งนี้ต้องการเสียง ส.ส.เพียง 126 เสียง แต่ทันทีที่ได้เป็นนายกรัฐมนตรีแล้วจะมีคนสนับสนุนอีกเพราะแลกเปลี่ยนผลประโยชน์กันเหมือนอย่างเหตุการณ์ในปี 2526 ซึ่งในครั้งนั้นมีการต่อรองเพื่อให้ได้เสียงสนับสนุน จนเกิดปรากฏการณ์ประธานสภามาจากพรรคฝ่ายค้าน แต่นายกรัฐมนตรีมาจากอีกฝ่ายที่รวมเสียงข้างมากได้

นายสุขุมกล่าวด้วยว่า นอกจากพรรคที่ประกาศสนับสนุนพลเอกประยุทธ์เป็นนายกรัฐมนตรีแล้วส่วนตัวมองว่ายังมีพรรคภูมิใจไทยและชาติไทยพัฒนา เพราะ 2 พรรคเคยประกาศไว้แล้วว่าจะเป็นพรรคทางหนีไฟ ส่วนพรรคประชาธิปัตย์ นั้นส่วนตัวก็เชื่อว่ามีโอกาสที่จะเข้าร่วมกับพรรคพลังประชารัฐเพื่อจัดตั้งรัฐบาล เพราะพรรคนี้มีข้อมูลใหม่มาเรื่อยๆ เพื่อประกอบการตัดสินใจในการเปลี่ยนจุดยืน

ในตอนท้าย นายสุขุม กล่าวเสริมว่า ถึงแม้การเลือกตั้งครั้งหน้าจะไม่ใช่สิ่งที่จะเคารพอะไรเรามากมาย แต่ตนขอให้อย่าท้อ ให้คิดว่าน้ำครึ่งแก้วดีกว่าไม่มีน้ำเลย เมื่อเปิดให้มีเลือกตั้งก็ไปเลือก แม้เราไม่มีปืนไม่มีอาวุธแต่เรามีเสียงบอกให้รู้ว่าเราคิดแบบไหน

** หมายเหตุ ในงาน อ.สุขุม ระบุตัวเลข ส.ส.ที่ต้องการอีก 176 เสียง ทีมงานได้ตรวจสอบกับอาจารย์ภายหลังแล้ว ตัวเลขที่ อ.สุขุม ต้องการพูดถึงคือ 126 เสียง ตามจำนวนครึ่งหนึ่งของสมาชิกรัฐสภาที่ร่วมกันโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี คือ 376 จาก 750 เสียง (เท่ากับ ส.ว. 250 เสียง + ส.ส.126 เสียง) จึงขอแก้ไขจากเนื้อหาที่ อ.สขุม กล่าว