SHARE

คัดลอกแล้ว

บ่ายวันพฤหัสบดีที่ 17 มกราคม ทีมข่าวเวิร์คพอยท์ มีโอกาสได้สัมภาษณ์พิเศษ คุณสุวิทย์ เมษินทรีย์ รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ซึ่งในวันนั้น ยังคงสวมหมวกอีกใบในตำแหน่ง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

คุณสุวิทย์ เป็นผู้ดูแลในส่วนนโยบายของพรรคพลังประชารัฐ โดยเฉพาะนโยบายทางด้านเศรษฐกิจ ซึ่งพรรคน้องใหม่แต่ไม่ได้เริ่มต้นจากศูนย์พรรคนี้ ชูนโยบาย “ประชารัฐ” 3 เรื่อง เป็นจุดขายในศึกเลือกตั้ง 62 อีกทั้งหนักแน่นจะเสนอชื่อ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” เป็น อันดับ 1 ในบัญชีรายชื่อผู้เหมาะสมเป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไปของพรรคด้วย

ทำไมในกว่า 4 ปีของรัฐบาลคสช. ยังแก้ปัญหาประเทศไม่ได้และคิดว่าต้องมีพรรคพลังประชารัฐ

สุวิทย์ : ผมคิดว่าเรื่องพวกนี้ ไม่ได้พูดปุ๊บแล้วทำได้ปั๊บแล้วเห็นผลในปีสองปี เพราะปัญหาของประเทศไทยเป็นปัญหาเรื้อรัง ในช่วง 10 กว่าปีที่ผ่านมา นอกเหนือจากเรื่องของความขัดแย้งที่รุนแรงระหว่างสองฝักสองฝ่ายแล้ว เราเลยเสียเวลากับเรื่องพวกนี้แทนที่จะเอาเวลาไปลงทุนกับทรัพยากรมนุษย์ ปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ เพราะฉะนั้นเพียงแค่ 4 ปีนี้เหมือนการห้ามเลือด คือให้เลือดหยุดก่อน แต่หลังการนั้นไม่ใช่จะเสกได้ทันที หลายสิ่งหลายอย่างที่ว่าเศรษฐกิจไม่ดี เพราะแต่ก่อนมีเศรษฐกิจใต้ดิน เราปราบเกลี้ยงเลยเงินสะพัดก็หายไปส่วนหนึ่ง อีกทั้งเป็นช่วงที่โลกกำลังเปลี่ยนไปสู่โลกดิจิทัล โอกาสในการทำมาค้าขายแบบเดิมคงไม่ง่าย และเศรษฐกิจโลกที่ผ่านผันผวน ราคาสินค้าเกษตรหลายตัวไม่ดีมีหลายปัจจัย

“ที่คนบอกว่า ปากท้องรัฐบาลชุดนี้มันไม่เก่ง มันทำปากท้องไม่เป็น ลองดูสิอดีตเราเคยชินอัดเงินเข้าไปในเชิงประชานิยม เรามีเศรษฐกิจใต้ดินที่เราปล่อยปละละเลย มีเรื่องคอรัปชั่นเงินก็สะพัดเป็นแบบนึง แต่มันไม่ยั่งยืน เพราะฉะนั้น 4 ปีนี้ที่ใครมาถูกด่าอยู่แล้ว ว่า ไม่เห็นมีอะไรออกมาเลย มันจะค่อย ๆ ออกดอกออกผล เหมือน 4 ปีที่ซ่อมประเทศ แต่จากนี้ไปหลังจากเราซ่อมมาถึงจุดนึง เราเริ่ม gains momentum พรรคพลังประชารัฐมาในจังหวะนี้ นโยบายของพรรคไม่ใช่นโยบายของรัฐบาลนี้ แต่อะไรที่ดีของรัฐบาลชุดนี้ เราจะสานต่อ อะไรที่ดูแล้วมีข้อบกพร่อง เราจะเปลี่ยนแปลง ปรับปรุง”

อยากน้อยรัฐบาลชุดนี้เปลี่ยนความขัดแย้งเป็นเสถียรภาพทำให้เศรษฐกิจฟื้นตัว ความเชื่อมั่นจากต่างประเทศมากขึ้นแต่โจทย์ต่อไป ประเทศจะต้องไปต่อ พรรคพลังประชารัฐมองถึงความต่อเนื่องเป็นสำคัญความต่อเนื่อง บ้านเมืองจะไม่สงบไม่ได้ต้องสงบ เงื่อนไขที่จะไปต่อคือความสงบ ซึ่งเราไม่ได้เป็นคู่ขัดแย้งกับใครมาก่อน เพราะฉะนั้นการจะตอบโจทย์เรื่องความสงบเราจะตอบได้เต็มปากเต็มคำ บนความสงบจะได้ gains momentum ประเทศไทยต้องเติบโตไม่น้อยกว่า 4 % และต้องมีกลไกกระจายโอกาส กระจายรายได้ด้วยสวัสดิการประชารัฐ สังคมประชารัฐ และเศรษฐกิจประชารัฐ

เพื่อไทย อาจมีฐานเสียงในภาคเหนือ, อีสาน ประชาธิปัตย์ ภาคใต้, กทม. แล้วพลังประชารัฐมีฐานเสียงอยู่ตรงไหน

สุวิทย์ : เราเป็นพรรคใหม่เราต้องคิดแบบใหม่ ผมคิดว่าเราขายสิ่งแรกคือนโยบาย เราจะทำยังไงให้คนเชื่อว่าพวกเราที่อุตส่าห์ตั้งพรรคกันมา เรามีความเชื่อมีอุดมการณ์อย่างนี้ท่านเห็นด้วยยังไง ? นโยบายบางอย่างโดนโดยตรง แต่บางอย่างเพื่อลูกหลาน นอกจากนี้เราเชื่อว่าเรากำลังสรรหา “ผู้นำ” ที่จะมาขับเคลื่อน 3 นโยบายหลักของพรรคพลังประชารัฐ ในอนาคตถ้ามีพรรคร่วมรัฐบาลถ้ามีทิศทางเดียวกันเราไปด้วยกันได้อยู่แล้วและอย่างที่บอก ประเทศไทยมีความหลากหลายของผู้คน มันมีคนที่ยังด้อยโอกาส รายได้น้อย คนชนชั้นกลางที่มีโอกาสแต่ก็อยากจะมีการเปลี่ยนแปลง และคนหนุ่มสาวที่กำลังมองว่า อยากให้ประเทศเราเป็นยังไง มันมีความหลากหลาย เพราะฉะนั้นในเชิงของนโยบายของพรรคพลังประชารัฐ เราคงไม่เทไปว่า เป็นภาคใด ภาคหนึ่ง หรือเราฐานเสียงอยู่ที่ไหน ไม่ใช่ เพราะประเทศไทยคือประเทศเดียวกันของคน 3-4 กลุ่มใหญ่ ๆ เราจะรวมกันยังไง เพราะฉะนั้น อย่างที่บอก มันมองเป็นข้อเสียเปรียบคือเราอาจไม่มีฐานเสียงเก่ามาก่อนเลย แต่ถ้ามองเป็นข้อได้เปรียบ คืออย่างน้อย เราคิดนอกกรอบในความเชื่อว่า ถ้าเราเป็นพรรคในทางเลือกใหม่ เป็นพรรคที่มองอะไรยาว ๆ ไม่ได้มองอะไรสั้น ๆ เพียงแต่ว่าที่ผ่านมา ก็มีคนที่ศรัทธา ส.ส.เก่าเยอะแยะมาร่วมกับเรา คนหนุ่มสาวกว่าเกือบร้อยคนที่เห็น วันนี้ก็ถือว่าเป็นประชารัฐจริง ๆ นะครับที่มีคนหลากหลายเหลือเกินที่มาอยู่กับเรา

เรื่อง “ผู้นำ” ของพรรคในฐานะที่ร่วมรัฐบาลกับ พล.อ.ประยุทธ์ มีเกริ่น ๆ กันแล้วหรือยัง

สุวิทย์ : ถามผมส่วนตัวนะในใจผม ผมเสนอท่านอยู่แล้ว นี่คือ ส่วนตัว เพราะว่าอะไร เพราะว่า ผมเคยบอกอยู่เสมอ คือ ผมคิดว่าในชั่วโมงนี้ เราต้องการผู้นำที่ หนึ่งมีวิสัยทัศน์ แต่มีวิสัยทัศน์อย่างเดียวไม่พอ ไม่ได้เอาแต่พูด ต้องทำจริง คือท่านเป็นคนที่ทำจริง ท่านเป็น Action Man แต่บางคนเป็น Action Man แต่ไม่มีวิสัยทัศน์แต่ผมว่าท่านครบเครื่อง คือมีทั้ง Action และมีทั้ง Vision นะ เราไม่อยากได้ผู้นำที่ Just talk หรือทำอะไรก็ไม่รู้ที่ไม่รู้ว่าทิศทางประเทศจะเป็นยังไง ไม่งั้นท่านก็ไม่ต้องมาซีเรียส เรื่องยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีหรอก ท่านคงไม่มีซีเรียสเรื่องปฏิรูป เพราะสองเรื่องนี้เป็นยาขมที่ยังไงก็ทุกคน อย่างน้อยอาจจะเป็น Short term loss คือทุกคนจะอาจจะต้อง suffer แต่เป็น Long term gain กับทุกคน

คนที่กล้าพูดอย่างนี้ก็ต้องเป็นคนที่มี Vision เพราะมีโอกาสถูกด่าเยอะ ถูกไหม มันไม่เหมือนรัฐบาลที่มาด้วย Populist (ประชานิยม) นี่ถูกไหมคือโปรยก่อน แต่ Populist นั่นแหล่ะ คือ Short term gain แต่ Long term loss คือความต่อเนื่อง Why not ?

สมมุติว่า พลังประชารัฐมีมติร่วมกันจะขอคุณประยุทธ์มาลงบัญชีแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี คุณอุตตมไปหา แต่คุณประยุทธ์ไม่รับ…

สุวิทย์ : เอ้าก็มาว่ากัน

สมมุติคุณประยุทธ์ไม่รับ พรรคพลังประชารัฐมีคนอื่นหรือยัง

สุวิทย์ : ก็ต้องหารือกันต่อ แหมเราเวลา มันต้องมีอยู่แล้วแหมนะ ถูกไหม มันต้องมีอยู่แล้ว ในตัวเลือกมีให้ได้ตั้ง 3 ท่านใช่ไหม เพราะฉะนั้นเราก็ยังมีท่านที่สองที่สาม ถ้าท่านปฏิเสธ เราก็อาจจะหาท่านที่ 4 ก็ว่ากันไป แต่มันธรรมดามันต้องหารือเรื่องพวกนี้ เราเป็นพรรค ไม่ได้มาอยู่ ๆ กำหนด โดยคน ๆ เดียว เราเป็นพรรค เพราะฉะนั้นเราต้องหารือสมาชิก หารือเครือข่ายเรา หารือผู้บริหารถูกเปล่า แต่หวังว่าท่านจะรับ อย่าไปบอกว่า ท่านจะไม่รับ

สมมุติถ้าคุณประยุทธ์ไม่รับแล้วต้องมีเบอร์ 2 เบอร์ 3 คิดว่าจะชนะคนอื่น ๆ อย่างเช่น คุณชัชชาติ คุณอภิสิทธิ์ได้ไหม

สุวิทย์ : คือเข้าใจไหม อย่าเพิ่งไปเปรียบเทียบตอนนี้ เราก็ยังไม่รู้ว่า เป็นท่านชัชชาติ หรือท่านอภิสิทธิ์ หรือเปล่า ทุกอย่างมันแปรได้หมด ในเมื่อคุณสมมุติ ผมก็สมมุติมั้งสิใช่ไหม ให้เป็นไปตามครรลองนะครับ ผมเพียงมองว่า ผมจะเสียดายอย่างยิ่งถ้าท่านประยุทธ์ ไม่ทำงานให้กับประเทศต่อ ผมจะเสียดายอย่างยิ่ง เพราะฉะนั้นด้วยการที่ท่านควรจะทำงานให้ประเทศต่อ ก็ไหน ๆ ก็ไหน ๆ มาช่วยเป็นผู้นำที่พรรคพลังประชารัฐ เลือกเพื่อจะให้ขับเคลื่อนประเทศต่อ ตามเจตนารมณ์และอุดมการณ์ของพรรคพลังประชารัฐ ดังที่ได้เรียนไว้ 3 เรื่องใหญ่ ๆ

เพื่อไทย ประชาธิปัตย์ ถ้าพลังประชารัฐเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลจะเลือกจับมือกับใคร

สุวิทย์ : ก็อย่างที่บอกว่าเราเอาเรื่องการสอดคล้องกัน การไปด้วยกันขอนโยบายนะครับของพรรคพลังประชารัฐ เราบอกแล้วไง เรามีอยู่ 3 แนวคิด คือเราต้องการยกระดับคนข้างล่างให้โอกาสเค้าเพื่อลดความเหลื่อมล้ำ คือเรื่องของสวัสดิการประชารัฐ แต่เราต้องการสร้างสังคมที่สงบสุขนะ เข้มแข็งนะ แบ่งปันนะ เราต้องการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจนะที่สามารถแต่ต้องโอกาสและเท่าเทียมนะ ถ้าแนวนโยบายไปในครรลองเดียวกันนี้ได้เราก็โอเค แต่ส่วนที่สองมันก็เป็นเรื่องของการที่ว่า แต่ละคนอาจจะมีการเจรจาต่อรองก็เป็นเรื่องธรรมดา ผมคิดว่า เอาเรื่องของนโยบาย เพราะว่าเรามองประเทศเป็นหลัก แต่สำคัญคือพรรคพลังประชารัฐ เราไม่ได้เป็นคู่ขัดแย้งใคร เราถึงยินดีที่จะเอาคู่ขัดแย้งในอดีตมาร่วมหัวจมท้ายกับเราที่จะเป็นรัฐบาลเพื่อจะตอบโจทย์ประเทศให้ได้ ใช่ไหมครับ ไม่ต้องดูอะไรดูแค่ในพรรค พรรคพลังประชารัฐปรากฏว่า โอโห้สมาชิกบางส่วนก็มาจากเสื้อแดง บางส่วนก็มาจาก กปปส.เก่า เสื้อเหลืองบ้าง แต่ก็มีคนหนุ่มสาวอีกไม่น้อย คือพรรคเราอยู่กันได้อย่างนี้ ก็แสดงว่าอีกหน่อยถ้าเราเป็นแกนกลาง ในการจัดตั้งรัฐบาล เราก็สามารถที่จะเอาพรรคคู่ขัดแย้งซึ่งแต่เดิมมา  อาจจะอยู่ในเฉดเหลืองบ้างในเฉดแดงบ้าง ถ้าตราบใดที่ตอบโจทย์ประเทศ แล้วคิดอ่านที่จะไปเปลี่ยนประเทศไปได้แล้วนโยบายไปในทิศทางเดียวกันได้ เราไปด้วยกันได้อยู่แล้ว

หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ บอกว่า ไม่เอาเผด็จการ

สุวิทย์ : คุณประยุทธ์ เป็นเผด็จการตรงไหน ท่านประยุทธ์เป็นเผด็จการตรงไหน ท่านเป็นแค่ ในขณะนี้ท่านก็สวมหมวกแค่ทหารเก่า อาชีพใคร จะไปเปลี่ยนอาชีพท่านได้ไงล่ะ ท่านก็เป็นนายทหารเก่า ณวันนี้ท่านก็เชื่อว่า  ณ วันนี้อยู่ในโหมดของประชาธิปไตย ถ้าท่านสนใจยินดีที่จะตอบรับ สมมุตินะว่า พลังประชารัฐนอมิเนดชื่อท่านแล้ว ท่านบอกว่า เออเห้ยมาช่วยกันอีกสักตั้งนึง ท่านก็มาในโหมดของประชาธิปไตยแล้ว ท่านไม่ได้มาในโหมดของเผด็จการเข้าใจกันผิดแล้ว ใช่ไหม เราจะไปบอกว่า ไม่ได้คุณเป็นทหาร ดังนั้นคุณต้องเผด็จการ โอโห้มันคิดได้ยังไง ถูกไหม มันคนละเรื่องกัน

ผมจบเภสัช อีกเหน่อยบอกว่าเห้ย อาชีพผมก็คืออาชีพเภสัชแล้วไงล่ะ แต่ ณ วันนี้ผมมา ช่วยเรื่องการเมืองก็เป็นเรื่องของผม ท่านก็เป็นนายทหารแต่ ณวันนี้ ท่านมาในฐานะ ว่า พรรคพลังประชารัฐ ในส่วนตัวผมนะ ซึ่งในอนาคต เอออยากจะให้ท่านมาช่วยนำประเทศหน่อย เออ ผิดตรงไหน เกี่ยวอะไรกับเผด็จการคนละเรื่องคือเนี่ยชอบไปป้ายสี สงสัยสีทาบ้านเหลือเยอะ

แต่เมื่อถึงเวลาก็คงจะคุยกันได้ใช่ไหม

สุวิทย์ : แน่นอน คือการเมือง ณ เวลานี้มันก็ภาษานี้แหล่ะ เอา ๆ ขอแบบจิก หยิก หยอกกันหน่อย ไม่ว่ากัน แต่ว่าก็อย่าเกินมากไป เพราะว่ามันเป็นภาพที่มันดูแล้วมัน สร้างความขัดแย้งอีก ว่าเอ้ เป็นเอาพรรคเผด็จการ เพื่อให้ตัวเองเป็นพรรคประชาธิปไตย ผมว่า มันเหมือน เหมือนๆ แทนที่จะแข่งกันที่นโยบาย คุณมานั่งแข่งกันที่ เหยียบอีกพรรคนึงให้จม  ให้เกิด hate เกิดความโกรธ เกิดความเกลียดขึ้นมา มันไม่ถูกอะ ถูกไหม ถามว่าพรรคนี้ วันนี้มีนายทหารสักคนไหม ไม่มีเลยใช่ม๊า แล้วถ้า ถ้าสมมุติ เราเสนอท่านนายกฯ จะบอกว่า ท่านเป็นนายทหาร ใช่ ท่านเป็นนายทหารเก่า แต่ ณ วันนี้ท่านมีสปิริตของ democracy ท่านถึงมาในโหมดนี้ แล้วไป paint อะไรท่านให้เป็นเผด็จการอีกเล่า

ชื่อคุณทักษิณก็ไม่มีปัญหาอะไรใช่ไหม ถ้าเพื่อไทยจะมาร่วมกัน

สุวิทย์ : ก็ต้องดูว่าท่านยังมีติดค้างอะไรหรือเปล่าถูกไหม ก็เราตามกฎหมายแหล่ะ แหม ถามอะไรแบบหืม ถูกไหม คือทุกอย่างเป็นไปตามครรลองเป็นไปตามกฎหมาย ตามสิ่งที่ควรจะเป็น

แต่ก็มีความเป็นไปได้อีกที่จะไม่ใช่สองพรรคใหญ่นี้

สุวิทย์ : ถามอะไรที่เป็นอนาคตซึ่งมันตอบยากมากเนอะ คือเอาเป็นว่า ในอนาคตหลายคนก็บอกว่า มันจะต้องเป็นพรรคผสม แต่ผมคิดว่าถ้าเรามุ่งมั่นดีๆ แล้วขายนโยบาย คือนโยบายเราโดน ๆ อาจจะไม่ต้องเป็นพรรคผสมก็ได้ ใครจะไปรู้ ใช่ไหมเดี๋ยวหาว่าขี้โม้อีก

ถ้าเทียบเป็นแบรนด์ พลังประชารัฐที่เป็นพรรคใหม่ เรียกตัวเองคำเดียวว่า แบรนด์อะไร

สุวิทย์ : คือ “ประชารัฐ” คือความเชื่อในการที่ว่า รัฐไม่ได้เก่งคนเดียว และเราต้องการร่วมมือ คือ จริงๆ คือประชา บวกรัฐ เราเชื่อใน Contribution เราเชื่อว่าประเทศจะอยู่รอดได้ในอนาคต ไม่ใช่จะบอกว่า อันนี้เป็นเรื่องของรัฐ อันนี้เป็นเรื่องของประชาชน  อันนี้เป็นเรื่องเอกชน รัฐอย่ายุ่งไม่ใช่ ผมว่าในโลกที่มันมี โลกที่มันย้อนแย้ง ผันผวน แบบนี้ ความร่วมไม้ร่วมมือ เป็นเรื่องสำคัญ เพราะฉะนั้น ประชารัฐ ชื่อมันเอง ตอบมันเองอยู่แล้ว เพียงแต่หนึ่ง เรามองว่า เราเป็นพรรคที่ไม่ได้มีเจ้าของเดียว ไม่เดี๋ยวหาว่าเหน็บอีก เราเป็นพรรคของ “ประชา” บวก “รัฐ” นะ

อันที่สองเราเป็นพรรคการเมืองใหม่ ที่เราไม่เคยอยู่ในคู่ขัดแย้ง เพราะฉะนั้นเรากำลังหาทางออกให้กับประเทศ ดังนั้นเรามีจุดขายจุดแรก ซึ่งผมคิดว่า ค่อนข้างชัดเจน คือ ความสงบสุข แต่ความสงบสุขเป็นเงื่อนไขที่จำเป็นแต่ยังไม่พอ เรากำลังมองถึงเรื่องของความยั่งยืน เพราะฉะนั้นเราถึงมี 3 Concept คือ ความสงบสุข ความเข้มแข็ง ความแบ่งปัน นั่นคือสังคมประชารัฐ แต่เรื่องความเหลื่อมล้ำ ไม่โทษใครทั้งนั้น มันเป็นเรื่องที่เป็นเชิงโครงสร้างและสะสมมานาน จะขจัดความเหลื่อมล้ำผ่านสวัสดิการประชารัฐได้ยังไง แต่สามทุกคนต้องทำมาหากินนะ ปากท้องเรื่องสำคัญนะ แต่อยู่อย่างนี้ไม่ได้แล้ว เศรษฐกิจประชารัฐจึงเกิดขึ้นด้วยการ สร้างความสามารถ เพราะเราต้องอยู่กับโลก Disrupt สร้างความสามารถแต่ให้โอกาสที่เท่าเทียม เพราะฉะนั้น Keyword มีประมาณนี้นะครับ ซึ่งถึงบอกว่าเป็น พรรคที่ผมเชื่อว่า แล้วเริ่มจากศูนย์ไหม ในแง่พรรคเริ่มจากศูนย์ แต่เราเชื่อว่าคนที่มาร่วมกับเรา นอกเหนือจากคนหนุ่มสาว เรามีคนที่มาจากเสื้อเหลือง เสื้อแดง มาอยู่กับเรา แล้วมีบางส่วนอย่าง 4 รัฐมนตรีอย่างน้อย ก็มีประสบการณ์ในเรื่องของการบริหารราชการแผ่นดินในระดับนึง ผมว่ามันเป็นอะไรที่ลงตัว ที่มันมีส่วนผสมที่ลงตัว

เพราะฉะนั้นจะไปบอกว่า เป็นแบรนด์ใหม่ แบรนด์เก่า ผมว่าไม่ใช่ เพียงแต่มองว่า ความมุ่งมั่น และพยายามที่จะ เป็น  New Politic คืออะไร ผมว่าประเทศไทยมาถึงจุดที่ ตั้งแต่ 2475 มันกี่ปีแล้ว 80 กว่าปีล้มลุกคลุกคลานอยู่นั่นในอดีต เพราะฉะนั้น พรรคเก่ามันก็โอเค มันก็ขลังแบบนึง แต่มันก็ต้องหาทางออก ทุกคนต้องหาทางออก อย่างน้อยพรรคใหม่พรรคนี้ ไม่ใช่ พรรคเฉพาะกิจ พรรคนี้มีความคิดอ่านของเค้ามีเจตนารมณ์ มีอุดมการณ์แล้วก็เชื่อว่า ประเทศต้องมีทางออก แล้วก็เชื่อว่า สิ่งที่ทำมา 4 ปี ของรัฐบาลชุดนี้ เราไม่ได้เชียร์นะ เพียงแต่เรามองว่า เออ อย่างน้อยเนี่ย เขาทำอะไรบางอย่างไว้ แต่ยังต้องทำอีกเยอะ ดังนั้นความต่อเนื่องเป็นเรื่องสำคัญ พรรคนี้จะทำบางเรื่องที่ดีๆ ของรัฐบาลนี้สานต่อ สืบสานต่อ แต่บางเรื่องที่มีจุดบกพร่อง มีบทเรียนเราต้องสรุปแล้วปรับใหม่นะครับ เพราะฉะนั้นจะไปบอกว่า พรรคนี้เป็นพรรครัฐบาล  เอานโยบายรัฐบาล แล้วมาสู่นโยบายพรรคพลังประชารัฐ ไม่ถูกต้อง ต่างคนต่างเดิน เพียงแต่เรามีรากบางส่วนมาจากการได้ร่วมทำงานกับรัฐบาลชุดนี้ เราจึงในส่วนตัวผมยกตัวอย่าง ผมถึงเชื่อมั่นในท่านนายกฯ ในส่วนตัวผมผมถึงเชื่อมั่น ว่า เห้ย 4 ปีนี้ ถ้าไม่มีรัฐบาลชุดนี้ อาจจะเหนื่อยกว่านี้นะ แต่ไม่ใช่ว่า โอโห้ ต้องได้ดังใจ แหมทุกอย่างต้องนั่น แต่ทำได้แค่นี้ผมว่า ก็ดีแล้วแต่ไม่พอหรอก ประเทศต้องไปต่อ Momentum

ถึงเป็นเรื่องสำคัญ ความวุ่นวายในอดีตอย่าให้เกิดขึ้นอีกนะ มันจะกลับไปวงจรอุบาทว์ เพราะฉะนั้นจุดขายที่ชัดเจนของพรรคนี้ก็คือเรื่อง ของการก้าวข้ามความขัดแย้ง welcome (ยินดีต้อนรับ) ทุกพรรคถ้าตราบใดที่ จะช่วยกันสร้างประเทศไทย นะครับ เดี๋ยวจะมีแคมเปญ ประชารัฐสร้างชาติ ก็เห็นแคมเปญแล้วนี่ สานพลังประชาราษฎร์ สร้างชาติให้ยั่งยืน

นโยบายของพรรคพลังประชารัฐ

1.สวัสดิการประชารัฐ หัวใจของเรื่องนี้คือการ ขจัดความเหลื่อมล้ำ ทั้งรายได้ โอกาส สิทธิและความยุติธรรม ที่สะสมมานาน ซึ่งต้องแก้ไขอย่างเป็นระบบ พรรคพลังประชารัฐจะสานต่อ “บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ” ของรัฐบาลชุด พล.อ.ประยุทธ์ ต่อยอดเป็น “บัตรประชารัฐ” ตอบสนองความจำเป็นพื้นฐานของคน 9 กลุ่มในสังคม เช่น เด็กเรียนฟรีถึงระดับปริญญาตรี ปัญหาหนี้สินจะมีการพักหนี้ ช่วยทุเลาหนี้เอสเอ็มอี ให้คนในสังคมหมดหนี้มีเงินออม รวมทั้งปัจจัย 4 เช่น โครงการบ้านล้านหลัง บ้านสุขใจวัยเกษียณ ส่วนที่ดิน ส.ป.ก. 4-01 ยืนยันว่า กรรมสิทธิ์ยังคงเป็นของรัฐ แต่จะยกระดับเกษตรกร ให้มีการโอนสิทธิ์กันได้ ซึ่งพบว่า มีกว่า 3 แสนรายที่ต้องการทำการเกษตร แต่ไม่มีที่ดิน ส่วนเจ้าของสิทธิ์เดิม ก็ชรามากจนทำไม่ไหว ตรงนี้เมื่อโอนสิทธิ์แล้วจะมีการเยียวยาให้กับเจ้าของเดิม

2.สังคมประชารัฐ สงบสุข เข้มแข็ง แบ่งปัน คือสังคมที่พรรคต้องสร้างให้เกิดขึ้นเพื่อเตรียมพร้อมประชาชนอยู่ศตวรรษที่ 21 มีสังคมสีขาว “ปลอดโรค ปลอดภัย ปลอดยา” เมืองน่าอยู่ 30 เมือง เพื่อรองรับ “สังคมเมือง” ที่คนจะไม่ต้องเดินทางไปทำงานไกลบ้าน เป็นต้น

3.เศรษฐกิจประชารัฐ สร้างความสามารถและเศรษฐกิจที่เท่าเทียม ปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ ผู้ผลิตให้มีความสามารถในการแข่งขัน สมาร์ทฟาร์เมอร์ วิสาหกิจชุมชน ทำให้เป็นเกษตรยั่งยืน 3 เพิ่ม 3 ลด เพิ่มรายได้ เพิ่มโอกาส เพิ่มนวัตกรรม  3 ลด คือ ลดหนี้ ลดปัจจัยการผลิต ลดความเสี่ยง ต่อไปจะมี Big data ควรจะปลูกอะไรโดยอินเตอร์เน็ตเข้ามามีบทบาทอย่างมาก รวมถึงเรื่องท่องเที่ยว Local Economy ทำให้รายได้อยู่ที่ชุมชน

ในที่สุดแล้ว ผลการเลือกตั้งพรรคพลังประชารัฐ จะได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล? ก็ต้องติดตามกันต่อไปว่า การประกาศตัวชู “ลุงตู่” สานต่องานรัฐบาล ก้าวข้ามความขัดแย้ง จะโดนใจคนไทยทั้งประเทศภายใต้บริบทของการเลือกตั้งในแบบใหม่นี้หรือไม่

https://www.facebook.com/WorkpointNews/videos/247845596111411/

podcast

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้ และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณเพื่อเราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมกับความสนใจของคุณ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมเราจะไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาและโฆษณาได้ไม่ตรงกับความสนใจของคุณ
    รายละเอียดคุกกี้

บันทึกการตั้งค่า