ดีเบตเลือกตั้ง 62 l เเคนดิเดตนายกฯ ประชันนโยบาย โค้งสุดท้ายก่อนการเลือกตั้ง

วันที่ 17 มี.ค. 62 ช่องเวิร์คพอยท์ ได้จัด ดีเบตเลือกตั้ง 62 l ประชันวิสัยทัศน์ “แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี” ณ ลานโพธิ์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ มีแคนดิเดตนายกฯ จาก 5 พรรคการเมือง ประกอบด้วย นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ แคนดิเดตนายกฯ พรรคชาติพัฒนา , คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ แคนดิเดตนายกฯ พรรคเพื่อไทย , นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ แคนดิเดตนายกฯ พรรคประชาธิปัตย์ , นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ แคนดิเดตนายกฯ พรรคเศรษฐกิจใหม่ เเละ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ แคนดิเดตนายกฯ พรรคอนาคตใหม่

โดยมี บรรจง ชีวมงคลกานต์ กับ อุมาพร ธำรงวงศ์โสภณ รับหน้าที่พิธีกร ซึ่งมีคำถามต่างๆ ดังต่อไปนี้

หลังการเลือกตั้งครั้งนี้ ท่านจะทำอย่างไร ไม่ให้เกิดเงื่อนไขในการรัฐประหารอีก ?

นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ข้อที่ 1. การเเลือกตั้งครั้งนี้ต้องมีความเป็นธรรม เป็นที่ยอมรับ ข้อที่ 2. ทุกพรรคต้องไม่ให้วุฒิสภาชี้นำในการเลือกนายกฯ และข้อที่ 3 ทุกพรรคต้องเคารพเจตนารมณ์ของประชาชน อย่าใช้อำนาจบั่นทอดกลไกการตรวจสอบ ที่ถ่วงดุลในระบอบประชาธิปไตย

นายธนาธร กล่าวว่า ก้าวแรกคือ ต้องหยุดยั้งการสืบทอดอำนาจของ คสช.ในการเลือกตั้งครั้งนี้ ก้าวที่ 2 เมื่อได้รัฐบาลประชาธิปไตยมาแล้ว ต้องผลักดันให้เกิดการปฏิรูปกองทัพ ก้าวที่ 3 คือ ต้องแก้รัฐธรรมนูณทั้งฉบับ ล้มล้างผลพวงรัฐประหาร และอย่าปล่อยให้คนผิดลอยนวล ต้องตั้งคณะกรรมการฟื้นฟูความจริงขึ้นมา

รัฐธรรมนูญฉบับนี้ คสช.วางแผนไว้แล้วว่า จะสืบทอดอำนาจ รวมถึงการแต่งตั้งองค์กรอิสระต่างๆ ตุลาการภิวัฒน์อาจจะกลับมาอีก ฉะนั้นต้องกดดันให้องค์กรอิสระยืนหยัดในหลักนิติรัฐ

สุดท้ายถ้าจัดการอะไรไมได้แล้ว เกิดรัฐประหารขึ้นมาจริงๆ นักการเมืองต้องสู้ ต้องยืนหยัดว่า รัฏฐาธิปัตย์ยังอยู่ที่รัฐสภา เอาซิ คุณจะยิงพวกเรา 500 คนเหรอ ? ต้องต่อสู้ด้วยสันติวิธี ต่อสู้ในระบบรัฐสภา อย่าให้ประชาชนต้องลงมาเดินถนน เพื่อไม่ให้พวกเขาตายฟรี

นายสุวัจน์ กล่าวว่า 1. รัฐบาลต้องทำงานด้วยความซื่อตรง ไม่ให้มีเรื่องทุจริต 2. ใช้เสียงข้างมากอย่างเป็นเหตุเป็นผล อย่าให้เกิดปัญหา และ 3. ทุกพรรคการเมืองต้องร่วมมือกัน ซึ่งทั้ง 3 ปัจจัยนี้จะเป็นการป้องกันไม่ใหภูมิคุ้มกันทางการเมืองบกพร่อง

คุณหญิงสุดารัตน์ กล่าวว่า การปฏิวัติทุกครั้ง จะอ้างว่านักการเมืองโกง แต่ต่อมาเราก็เห็นแล้วว่า ทหารที่ทำการรัฐประหารก็โกงด้วย ฉะนั้นพรรคการเมืองต่างๆ ต้องเชื่อมั่นในระบอบประชาธิปไตยและรัฐสภาอย่างแท้จริง อย่าไปกวักมือเรียกทหาร ต้องให้ประชาชนเป็นผู้ตัดสิน ด้วยการคืนอำนาจให้ประชาชน เพราะถ้ารัฐประหารทำให้ประเทศเจริญ ประเทศไทยน่าจะเจริญที่สุด เพราะรัฐประหารบ่อยมาก

ดังนั้นคนที่ดูแลการเลือกตั้ง ต้องทำให้การเลือกตั้งเป็นไปอย่างบริสุทธิ์ยุติธรรม เพราะถ้าผลการเลือกตั้งออกมาไม่เป็นที่น่าเชื่อถือ ประเทศไทยไปต่อไม่ได้ ซึ่งการยึดอำนาจเมื่อปี 57 ยึดด้วยปลายกระบอกปืน แต่ปี 62 ยึดอำนาจด้วยรัฐธรรมนูญลายพราง อย่างการแต่งตั้ง ส.ว .ฉะนั้นจึงเป็นหน้าที่ของพวกเราที่ต้องต่อต้านการสืบทอดอำนาจ ด้วยวิถีประชาธิปไตย

ซึ่งในการเลือกตั้งครั้งนี้ มีทั้งพรรคที่สนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ และไม่สนับสนุน แต่พรรคเพื่อไทยยืนยันว่า ไม่เอาทั้ง พล.อ.ประยุทธ์ และพรรคพลังประชารัฐ ฉะนั้น ประชาชนต้องใช้วิถีทางประชาธิปไตยเพื่อยุติการสืบทอดอำนาจ

นายมิ่งขวัญ กล่าวว่า เราต้องยอมรับก่อนว่า ถึงแม้จะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับรัฐธรรมนูญฉบับนี้ แต่ก็การผ่านประชามติมาแล้ว ก็ต้องเคารพกติกา ซึ่งถ้าถามว่าตนชอบไหม ตอบชัดเจนว่า ไม่ชอบเลย เพราะไปต่อไม่ได้ จึงต้องแก้รัฐธรรมนูญในที่สุด แต่ถ้าได้เป็นรัฐบาลแล้ว และยังมีการทุจริต คอรัปชั่น มันก็จะเกิดปรากฏการณ์แบบเดิมขึ้นอีก

ไพ่ใบสุดท้าย หรือ นโยบายของแต่ละพรรค ที่จะเสนอในช่วงโค้งสุดท้ายก่อนการเลือกตั้ง มีอะไรบ้าง ?

คุณหญิงสุดารัตน์ กล่าวว่า นโยบายเศรษฐกิจที่พรรคเพื่อไทยเสนอ คือขึ้นเงินเดือน ปริญญาตรี 1.8 หมื่นบาท ต่อเดือน ก็อยู่ในหลัก “ปรับหนี้ เติมเงิน ลดภาษี สร้างเศรษฐีใหม่” เพราะสาเหตุที่เศรษฐกิจเดินไม่ได้มา 4 – 5 ปี ก็เพราะรัฐบาลไม่ได้เติมเงินที่ราก แต่เติมเงินที่ยอด ทำให้ช่องว่างความเหลื่อมล้ำสูงมาก

วันนี้จะแก้ปัญหาเศรษฐกิจได้ จะต้องเพิ่มกำลังซื้อภายในประเทศให้ได้ก่อน ด้วยการเติมเงินให้กลุ่มที่เป็นฐานใหญ่ของประเทศ ทั้งพนักงาน ธุรกิจขนาดเล็ก ขนาดกลาง เกษตรกร ลดภาษีให้ผู้ประกอบการ ลดภาษีน้ำมัน ที่ปัจจุบันสูงกว่า 5 บาท

และนโยบายที่พรรคเพิ่งเปิดตัวไปก็คือ หวยบำเหน็จ ซึ่งจะทำให้เงินทุกบาททุกสตางค์ที่เราซื้อลอตเตอรี่ ไม่หายไปไหน แต่กลายเป็นเงินออม

นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า พรรคมีนโยบายประกันรายได้ให้เกษตรกร ด้วยการเติมเงินส่วนต่าง หากราคาต่ำกว่าที่กำหนด และประกันรายได้ให้กับแรงงาน 1.2 แสนบาท ต่อปี แต่ไม่ให้กระทบผู้ประกอบการ ด้วยการเติมเงินชดเชยให้ รวมถึงบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เราก็ปรับตัวเลขให้เป็น 800 บาท ต่อเดือน ที่สำคัญ คนจนสามารถนำเงินไปซื้อของจากคนจนได้

นายธนาธร กล่าวว่า พรรคอนาคตใหม่ ไม่เคยเสนอเรื่องเรตค่าแรงขั้นต่ำ แต่สิ่งที่เราอยากทำก็คือ การสร้างรัฐสวัสดิการ ตนยืนยันว่าการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ ไม่ใช่เรื่องผิด แต่พรรคอนาคตใหม่ไม่เลือกทางนั้น แต่เลือกที่จะสร้างรัฐสวัสดิการ ให้คนทุกคนยืนอยู่ในสังคมได้อย่างมีศักดิ์ศรีในความเป็นมนุษย์

นายมิ่งขวัญ กล่าวว่า พรรคเศรษฐกิจใหม่ ไม่ได้เสนอเรื่องขึ้นค่าแรง แต่เสนอแนวทางลดค่าครองชีพ เช่น ค่าแรง 300 กว่าบาท ก็จะลดค่าครองชีพลง จึงเป็นที่มาของนโยบายลดภาษีน้ำมันลงมา 5 – 10 บาทต่อลิตร เพื่อให้เงินกลับเข้าไปอยู่ในกระเป๋าประชาชนทันที 2. ลดค่าไฟฟ้า 3. เปิดโอกาสให้เงินไหลเข้าประเทศทุกทิศทุกทาง และเราจะผลักดันให้ไทยเป็นประเทศปลอดภาษี (duty free) อันดับ 1 ของโลก

ซึ่งตอนนี้ ค่าแรงของลาว เขมร 50 บาท ต่อวัน เวียดนาม 70 – 150 บาท ต่อวัน แต่วันนี้ค่าเเรงขั้นต่ำบ้านเรา 300 กว่าบาท การลงทุนต่างชาติไหลไปประเทศที่ค่าแรงถูกหมด ถ้าไม่หยุดประชานิยม รัฐสวัสดิการ การลงทุนก็จะไหลออก แล้วก็เกิดปัญหาเงินเฟ้ออย่างรุนแรง

โดยวิธีเติมเงินในกระเป๋า มันมี 2 วิธี วิธีแรกคือ ขึ้นค่าแรง วิธีที่ 2 ให้ค่าแรงขึ้นนิดหน่อย แล้วก็ลดค่าใช้จ่าย เหมือนเวลาคุณป่วยมากๆ ต้องเริ่มจากให้ยาเบาก่อน แล้วให้ยาแรงขึ้นเรื่อยๆ แต่ผมต้องการให้ทุกคนอยู่ได้ ทั้งนายจ้าง ลูกจ้าง นักศึกษาจบใหม่ ฉะนั้นถ้าพรรคเศรษฐกิจใหม่ได้ร่วมรัฐบาล ก็จะขอดูแลเรื่องเศรษฐกิจทั้งหมด

นายสุวัจน์ กล่าวว่า ที่บอกว่า เศรษฐกิจไทยโต 4.1 % แต่ว่าจริงๆ แล้วนี่ ไม่ได้โตทุกคน 100 คนอาจจะโตไม่ถึง 10 คน อีก 90 คนอาจจะติดลบด้วยซ้ำ จึงเป็นเรื่องเร่งด่วนที่จะต้องแก้เศรษฐกิจระดับรากหญ้า เช่น นำการท่องเที่ยวเข้าไปช่วยในหมู่บ้าน ตำบลต่างๆ มีกองทุนให้กับผู้ประกอบการชนบท มีกองทุนช่วยเหลือเกษตรกร และสร้างเสถียรภาพให้เศรษฐกิจของประเทศ ด้วยการนำเทคโนโลยี 5 G มาใช้

ส่วนเรื่องค่าแรง จะมีคณะกรรมการพิจารณา ประกอบด้วย รัฐ ตัวแทนผู้ประกอบการ ตัวแทนลูกจ้าง ที่ต้องพิจารณาให้สมดุลกัน ฉะนั้นวันนี้เราควรมองว่าทำอย่างไรที่จะพัฒนาขีดความสามารถการแข่งขันของประเทศ ที่เกิดจากผู้ใช้แรงงาน อย่างให้เขาเป็นแรงงานที่ได้ค่าเเรงขั้นต่ำ เเต่ต้องพัฒนาให้เขาเป็นแรงงานคุณภาพ และถ้าถึงจุดนั้น ค่าแรงวันละ 600 บาท 800 บาท หรือ 1,000 บาท ผู้ประกอบการก็ยอมจ่าย

แต่ละพรรคจะนำเงินจากไหน มาใช้ดำเนินนโยบายสวัสดิการต่างๆ รวมถึงจะทำอย่างไร ให้ GDP 4.1 ต่อปี กระจายลงมาถึงรากหหญ้าด้วย ?

นายสุวัจน์ กล่าวว่า ในการลงทุนในภาครัฐ เราจะให้เอกชนร่วมลงทุน แล้วหารายได้ใหม่ๆ เข้าประเทศจากพื้นฐานเศรษฐกิจเดิมที่เรามีอยู่ เช่น เดิมเราขายสินค้าเกษตร ต่อไปก็ขายเป็นสินค้าอุตสาหกรรม เป็นการสร้างมูลค่าเพิ่ม แล้วดึงให้ราคาพืชผลการเกษตรสูงขึ้นด้วย รวมถึงการเพิ่มรายได้ด้วยการท่องเที่ยว

นายมิ่งขวัญ กล่าวว่า เราจะทำให้เงินไหลเข้าประเทศทุกทิศทุกทาง ตามที่ได้บอกไปก่อนหน้านี้ เพราะรายได้อันดับ 1 ของประเทศมาจากการท่องเที่ยว และพอลดราคาน้ำมัน เงินก็เข้าไปอยู่ในกระเป๋าประชาชน พอเขาจับจ่าย เงินก็เกิดการหมุนเวียน และเมื่อค่าน้ำมัน ค่าไฟ ถูกลง การลงทุนจากต่างประเทศก็จะไหลเข้ามา

คุณหญิงสุดารัตน์ กล่าวว่า ต้องให้คนส่วนใหญ่อยู่ได้ จึงต้องปรับหนี้ก่อน อย่างธุรกิจขนาดกลางและเล็ก จะต้องปรับโครงสร้างหนี้ให้เขา ปรับหนี้ให้กับประชาชนทั่วไป อันดับต่อมาคือ เติมเงินให้ผู้ประกอบการธุรกิจขนาดกลางและเล็ก เด็กจบใหม่ แรงงาน เกษตรกร

แล้วทางพรรคยังมีนโยบายกองทุนคนเปลี่ยนงาน สำหรับคนที่ทำงาน แล้วตำแหน่งงานน้อยลง เช่นธุรกิจธนาคารที่มีการปรับลดพนักงาน จะมีกองทุนนี้เข้ามาช่วย รวมถึงกองทุนสร้างผู้ประกอบการรุ่นใหม่

นายธนาธร กล่าวว่า สิ่งที่เราเชื่อว่าเป็นอนาคตขอประเทศ คือการใช้เทคโนโลยีเข้ามาเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าของเกษตรกร เช่นนำเทคโนโลยีมาสร้างเครื่องอบข้าว สร้างไซโลข้าวที่ทันสมัย รวมถึงสร้างมูลค่าเพิ่มจากส่วนอื่นๆ ของข้าว เช่น รำ แกลบ เป็นต้น

นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ในส่วนการหาเงินมาทำนโยบายสวัสดิการนั้น สามารถนำเงินตรงนี้มาจากการปรับลดงบประมาณที่ทับซ้อน เช่น ลดงบประมาณสำรองจ่ายฉุนเฉินทั้งหลาย ซึ่งตอนนี้ตั้งไว้เกือบแสนล้านบาท แต่จ่ายจริงๆ น้อยมาก ตรงนี้สามารถลดได้ 5 – 6 หมื่นล้านบาท

อันดับต่อมาก็คือ การปรับระบบการจัดเก็บภาษี ขึ้นภาษีสำหรับกลุ่มคนที่มีกำลังจ่าย เช่น เศรษฐีที่ดิน ตลาดหลักทรัพย์ ต้องจ่ายภาษีมากขึ้น โดยหลักการก็คือ เก็บภาษีเพื่อลดความเหลื่อมล้ำในสังคม

“สัญญาหน้าลานโพธิ์” ทั้ง 5 ท่านจะให้สัญญาได้หรือไม่ว่า หากได้เป็นรัฐบาล จะแก้ไขรัฐธรรมนูญปี 60 รวมถึงยุทธศาสตร์แห่งชาติ 20 ปี เพื่อให้ประชาชนหลุดพ้นจากประชาธิปไตยปลอมๆ หยุดการสืบทอดอำนาจ ?

นายมิ่งขวัญ ยืนยันว่า ตนอยู่ฝั่งประชาธิไตยตั้งแต่ต้น เพราะรัฐธรรมนูญฉบับนี้ไปต่อไม่ได้ จึงต้องแก้ แล้วต้องกล้าที่จะแก้ด้วย พร้อมชู 5 นิ้วให้สัญญาว่า จะทำตามที่พูดไว้อย่างแน่นอน

ส่วนนายอภิสิทธิ์ กล่าวอย่างหนักแน่นว่า รับที่จะทำการแก้รัฐธรรมนูญ และยุทธศาสตร์แห่งชาติ 20 ปี เพราะต้องแก้ไขอยู่แล้ว แล้วเรากล้าที่จะแก้ด้วย

นายสุวัจน์ กล่าวว่า รัฐธรรมนูญฉบับนี้ มีการปฏิรูปในหลายเรื่อง ก็ถือว่าอยู่บนพื้นฐานที่มีอะไรใหม่ๆ เยอะ และเป็นรัฐธรรมนูญที่ประชาชนลงมติรับแล้ว ฉะนั้นหลังจากการเลือกตั้ง หากเห็นว่ากลไกใดของรัฐธรรมนูญเป็นอุปสรรคในการบริหารประเทศ ก็จะทำการแก้ไข ส่วนยุทธศาสตร์ 20 ปี ก็เป็นไปตามกลไก เพราะในยุทธศาสตร์ฯ ก็ระบุว่า สามารถดำเนินการแก้ไขได้

ส่วนคุณหญิงสุดารัตน์ กล่าวอย่างชัดเจนว่า จะแก้รัฐธรรมนูญ ปี 60 และยุทธศาตร์ชาติฯ 100 %

นายธนาธร กล่าวว่า รัฐธรรมนูญ ปี 60 ไม่เป็นประชาธิปไตย ไม่ได้มาจากประชาชน ทั้งที่มา เนื้อหา และกระบวนการ ถ้าแก้ ต้องแก้ทั้งฉบับ นี่คือจุดยืนของพรรคอนาคตใหม่

โดยสุดท้ายนี้ ตัวแทนจาก 5 พรรคการเมือง ได้จับมือเป็นพันธสัญญาร่วมกันว่า หากได้เป็นรัฐบาล จะดำเนินการแก้รัฐธรรมนูญ ปี 60 อย่างแน่นอน