ธนาธรแถลง ไม่เห็นด้วยมติศาลรัฐธรรมนูญ ยืนยันเดินหน้ารวมเสียงจัดตั้งรัฐบาล

ธนาธร แถลงข่าววันนี้ที่พรรคอนาคตใหม่ ระบุว่าไม่เห็นด้วยกับมติของศาลรัฐธรรมนูญวันนี้ พร้อมทั้งระบุว่าตามกฎหมายตนเองยังมีสิทธิเป็นนายกรัฐมนตรี และยังจะเดินหน้ารวมเสียงจัดตั้งรัฐบาลต่อไป เพื่อหยุดยั้งการสืบทอดอำนาจของ คสช.

วันนี้ (23 พ.ค.) เวลาประมาณ 19.00 น. นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ได้แถลงข่าวต่อกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญได้มีมติ สั่งให้ตนยุติการทำหน้าที่ ส.ส. ชั่วคราว จากกรณีข้อสงสัยว่าตนอาจจะขาดคุณสมบัติการเป็น ส.ส. เนื่องจากถือหุ้นสื่อ  โดยนายธนาธรระบุว่า ตนไม่เห็นด้วยกับมติดังกล่าวของศาลรัฐธรรมนูญ พร้อมกับตั้งข้อสังเกตว่าการตัดสินครั้งนี้ของศาลรัฐธรรมนูญอาจไม่เป็นธรรม รวมถึงอาจมีมูลเหตุจูงใจทางการเมือง

ทั้งนี้นายธนาธรยังได้ตั้งข้อสังเกตด้วยว่า ตนได้รับเอกสารจากคณะกรรมการสืบหาข้อเท็จจริงของ กกต. ต่อกรณีดังกล่าว โดยเอกสารลงวันที่ 17 พ.ค. ให้เรียกไปสืบพยานวันที่ 24 พ.ค. แสดงว่าทาง กกต. เองยังสืบพยานเรื่องนี้ไม่สิ้นสุด แต่เหตุใด กกต. ชุดใหญ่จึงมีมติส่งข้อร้องเรียนดังกล่าวให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาได้ในวันที่ 16 พ.ค.  โดยนายธนาธรตั้งคำถามว่า กกต. ชุดใหญ่ไปเอาข้อสรุปว่าให้ส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณามาจากไหน ทั้งที่การสอบสวนของ กกต. เองยังไม่ได้ข้อยุติ

นอกจากนี้ นายธนาธรยังได้ตั้งข้อสังเกตเปรียบเทียบกรณีของตนเอง กับกรณีของนายดอน ปรมัตถ์วินัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศด้วยว่า ในกรณีของนายดอน กระบวนการทั้งหมดตั้งแต่ กกต. ถึงศาลรัฐธรรมนูญ ใช้เวลา 417 วัน แต่ในกรณีของตนเองใช้เวลาเพียง 53 วัน  หรือแตกต่างกันถึง 364 วันหรือเกือบ 1 ปี  ด้วยเหตุนี้ตนจึงอยากตั้งข้อสังเกตว่าองค์กรอิสระต่างๆ ผลักดันกรณีของตนเร็วกว่าปกติหรือไม่

ทั้งนี้ นายธนาธรยังระบุด้วยว่า ความพยายามในการสกัดกั้นตนไม่ให้เข้าสภานั้นแสดงให้เห็นว่า คสช. กำลังอยู่ในช่วงขาลง และนี่ถือเป็นความพยายามสุดท้ายของคนกลุ่มนี้ที่จะรักษาอำนาจไว้บนความทุกข์ของประชาชน และยังได้เปรียบเทียบด้วยว่าคนกลุ่มนี้เปรียบได้กับความมืด ส่วนตนและพรรคอนาคตใหม่ขออาสาเป็นแสงสว่างเพื่อหยุดระบอบเผด็จการ

ในช่วงท้าย นายธนาธรยืนยันว่า ตนเองและ ส.ส. ที่เหลือของพรรคอนาคตใหม่อีก 79 คน ยังยืนยันที่จะเดินหน้ารวมเสียงเพื่อจัดตั้งรัฐบาลต่อไป เพื่อหยุดยั้งการสืบทอดอำนาจของ คสช. และยืนยันว่าตนเองยังคงมีสิทธิที่จะชิงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอยู่  อีกทั้งได้ฝากไปถึงกลุ่มผู้สนับสนุนว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาแห่งการสิ้นหวัง แต่คือห้วงเวลาที่ทุกคนต้องลุกขึ้นยืนด้วยกัน