ใช้เวลาตรวจประวัติอีก 10 วัน คาดนำชื่อ ครม.ทูลเกล้าฯ ต้น ก.ค.

“วิษณุ” แจงขั้นตอนตรวจสอบประวัติ-คุณสมบัติ ว่าที่รัฐมนตรี ชี้ตอนนี้ทีมงานนายกฯ ยังดูความเหมาะสมใครทำงานร่วมกับใครได้หรือไม่ จากนั้นจะจะส่งให้เลขาฯ ครม.ตรวจสอบและให้กรอกแบบฟอร์มรับรองตัวเองอีกชั้นหนึ่ง คาดทุกขั้นตอนเสร็จหมดภายในสิ้นเดือนนี้ จึงนำชื่อขึ้นทูลเกล้าฯ

วันที่ 19 มิ.ย. ที่ทำเนียบรัฐบาล นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงความคืบหน้าของรายชื่อคณะรัฐมนตรีว่า กระบวนการที่ชัดเจนมีดังต่อไปนี้ คือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีได้รับรายชื่อผู้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีจากทุกพรรคแล้ว และได้แจ้งไปยังพรรคต่างๆ ว่าปิดบัญชีแล้ว หากแต่ละพรรคจะมีเรื่องอะไรให้ไปคุยกันเองและถ้าจะมีอะไรก็ส่งมา สำหรับรายชื่อรัฐมนตรีเหล่านี้ท่านจะเป็นผู้ดูเองกับทีมเล็กๆ ของท่าน เป็นการดูความเหมาะสมว่าใครเมื่ออยู่ในตำแหน่งใดจะมีปัญหากับใครหรือไม่ รัฐมนตรีว่าการกับช่วยว่าการของแต่ละพรรคทำงานด้วยกันได้หรือไม่ ซึ่งไม่ใช่เรื่องคุณสมบัติแต่เป็นการดูความเหมาะสม เป็นสิ่งที่นายกรัฐมนตรีทุกคนต้องดูอยู่แล้ว

ขั้นตอนจากนั้น จะเป็นเรื่องคุณสมบัติ โดยจะส่งให้เลขาธิการคณะรัฐมนตรี (ครม.) ตรวจสอบ ซึ่งทราบว่ามีการทยอยส่งไปบ้างแล้วสำหรับชื่อที่ไม่มีปัญหา โดยจะใช้เวลา 2-3 วันในการตรวจสอบเอง ด้วยการสอบถามไปยังหน่วยงานต่างๆ  เช่น เรื่องวุฒิการศึกษา ถามกับ สำนักงานข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) เพราะในอดีตเคยมีปัญหาเรื่องปริญญาปลอม นอกจากนั้นก็จะมีหน่วยงาน คือ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) กระทรวงยุติธรรม ศาล ตำรวจ และสันติบาล โดยระหว่างที่ เลขาธิการ ครม.ตรวจสอบพบปัญหาจะรายงานนายกรัฐมนตรี ซึ่งที่ผ่านมาเคยมีการยับยั้งบางราย

ต่อจากนั้นจะส่งแบบฟอร์มให้รัฐมนตรีแต่ละคนรับรองตัวเองอีกชั้นหนึ่ง เช่น ว่าที่รัฐมนตรีคนนั้น คู่สมรสและบุตรจะมีหุ้นอยู่ในกิจการสัมปทานไม่ได้ เนื่องจากการตรวจสอบคู่สมรสและบุตรปกติจะไม่มีใครให้ตรวจจึงต้องให้ครอบครัวลงนามรับรองมาด้วย กระบวนการตรวจสอบจึงจะทำได้ ขั้นตอนทั้งหมดคาดว่าจะเสร็จสิ้นในสิ้นเดือน มิ.ย. และนำรายชื่อขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายได้

ส่วนกรณีที่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวถึงการเป็นหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐหรือไม่ว่ากำลังปรึกษาฝ่ายกฎหมายอยู่นั้น นายวิษณุกล่าวว่า นายกรัฐมนตรีมีฝ่ายกฎหมายหลายทีม แล้วแต่ว่าท่านจะปรึกษากับใคร แต่ถามว่าได้ถามตนหรือไม่ ตนเคยบอกแล้วว่าไม่ถึงขนาดเป็นการปรึกษา แต่เป็นการถามลอยๆ เช่น การเป็นหัวหน้าพรรคมันมีผลกระทบอย่างไรในทางกฎหมาย มีอำนาจหน้าที่อะไร จะต้องทำอย่างไรและจะเกิดอะไรขึ้น ซึ่งตนก็ได้เล่าให้ฟัง ส่วนท่านจะคิดตัดสินใจอย่างไรก็สุดแล้วแต่ท่าน คงไปรวบรวมข้อมูลจากหลายฝ่าย ซึ่งตนไม่ได้ให้คำแนะนำอะไร ไม่กล้าแนะนำ แต่หลังจากพูดผลดีผลเสียท่านคงชั่งน้ำหนักคิดดูได้

เมื่อถามว่าจากการทำงานร่วมกันมาคิดว่า เป็นหัวหน้าพรรคหรือเป็นนายกรัฐมนตรีอย่างเดียวดีกว่ากัน นายวิษณุ ตอบว่า วันหลังจะตอบ สัญญาว่าจะตอบ ขอให้ช่วยถามด้วย